วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ข้อสอบวิแพ่ง

ก) โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญาจ้างทำของจำนวน 1,000,000 บาท จำเลยได้รับหมายเรียกให้ยื่นคำให้การแล้วมิได้ยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กำหนดตามกฎหมาย โจทก์มีคำขอต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนดเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 4 สิงหาคม 2557 ครั้นถึงวันนัดโจทก์และจำเลยมาศาล จำเลยแจ้งต่อศาลชั้นต้นว่าตนประสงค์จะต่อสู้คดีและยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ โจทก์ไม่ค้าน ศาลชั้นต้นเห็นว่าการขาดนัดยื่นคำให้การของจำเลยมิได้เป็นไปโดยจงใจ จึงกำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การภายใน 7 วัน แล้วเลื่อนไปนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 5 กันยายน 2557 ปรากฏว่าจำเลยมิได้ยื่นคำให้การภายในกำหนดเวลาตามคำสั่งศาล โจทก์มีคำขอต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนดเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัดอีกครั้ง ต่อมาในวันนัดโจทก์และจำเลยมาศาล จำเลยแจ้งต่อศาลชั้นต้นว่าตนประสงค์จะต่อสู้คดีพร้อมกับยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การโดยอ้างว่าระหว่างระยะเวลา 7 วันที่จำเลยต้องยื่นคำให้การจำเลยป่วยกระทันหันต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยมีใบรับรองแพทย์มาแสดง โจทก์ไม่ค้านศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การโดยไม่ได้ดำเนินการไต่สวนคำร้องของจำเลย แล้วสืบพยานโจทก์ ในระหว่างสืบพยานโจทก์ จำเลยไม่ได้แจ้งต่อศาลชั้นต้นว่าจะถามค้านพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นไม่ได้สอบถามจำเลยว่าจะถามค้านหรือไม่และไม่ได้ให้จำเลยถามค้าน เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ตามฟ้อง
ให้ท่านวินิจฉัยว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การโดยไม่ได้ไต่สวนคำร้องของจำเลยและไม่ได้ให้จำเลยถามค้านพยานโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

(ข) หากกรณีตาม (ก) ในวันนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 4 สิงหาคม 2557 ศาลชั้นต้นเห็นว่า การขาดนัดยื่นคำให้การของจำเลยเป็นไปโดยจงใจ จึงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ จำเลยโต้แย้งคำสั่งไว้แล้วใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวเมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน 
ให้ท่านวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิฎีกาต่อไปหรือไม่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น