สรุปวิ.แพ่ง จูริส เล่ม ๑
สรุปจาก เทพเจ้าจูริส พ.ต.ท.จักรกฤช ชูคง
คำฟ้อง คำฟ้องที่เกี่ยวข้องกับการบังคับคดี มาตรา 7(2)
(๑)คำฟ้องหรือคำร้องขอที่เสนอภายหลังเกี่ยวเนื่อง
กับคดีที่ค้างการพิจารณาอยู่ในศาลใด ให้เสนอต่อศาลนั้น
(๒)คำฟ้องหรือคำร้องขอที่เสนอเกี่ยวเนื่องกับการ
บังคับคดีตามคำพิพากษา หรือคำสั่งของศาลซึ่งคำฟ้องหรือ
คำร้องขอนั้นจำต้องมีคำวินิจฉัยของศาลก่อนที่การบังคับคดีจะ
ได้ดำเนินไปได้โดยครบถ้วนและถูกต้องนั้น ให้เสนอต่อศาลที่
มีอำนาจในการบังคับคดี ตามมาตรา 302
4676/51 คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ขอให้จำเลยรับว่าได้รับชำระหนี้บางส่วนแก่จำเลยแล้ว และให้จำเลยคิดยอดหนี้ที่ค้างชำระเพื่อโจทก์จะได้ชำระหนี้ส่วนที่เหลือต่อไปนั้น เห็นได้ว่าคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องโจทก์ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีตามคำพิพากษา ซึ่งคำฟ้องเช่นนี้จำต้องมีคำวินิจฉัยของศาลที่มีการบังคับคดี โจทก์ต้องไปว่ากล่าวกันในคดีเดิมตามมาตรา 302
ข้อน่าสังเกตุ ข้อสัญญาที่ว่าจำเลยจะออกค่าธรรมเนียมการโอน มิใช่ข้อตกลงในสัญญายอมซึ่งศาลพิพากษาตามยอม แต่เป็นข้อตกลงที่เกิดขึ้นในภายหลัง จึงไม่อาจบังคับในคดีเดิมได้ ต้องฟ้องร้องเป็นคดีใหม่ โดยต้องฟ้องต่อศาลที่พิพากษาตามยอมนั่นเอง
กรณีมอบหมายให้ศาลอื่นบังคับคดีแทน อาจยื่นคำร้องเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีต่อศาลที่บังคับคดีแทนได้ อย่างไรก็ดี ศาลที่บังคับคดีแทนคงมีอำนาจเฉพาะที่เกี่ยวกับการบังคับคดีในส่วนที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น
ทั้งศาลเดิมและศาลที่บังคับคดีแทนมีอำนาจสั่งคำร้องที่อ้างว่าการบังคับคดีไม่ชอบได้ทั้งสองศาล แต่จากคำวินิจฉัยดังกล่าวดูเหมือนว่า กรณีศาลที่บังคับคดีแทนจะสั่งคำร้องได้ในกรณีที่ยังไม่ได้ส่งเงินที่ยึดได้หรือเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดไปยังศาลเดิมเท่านั้น
ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของ จพค.เกี่ยวกับการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึด ต้องฟ้องต่อศาลที่มี อำนาจบังคับคดี คือ ศาลที่ออกหมายบังคับคดีหรือศาลที่บังคับคดีแทนก็ได้ โจทก์จะฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลตาม มาตรา 4(1)ไม่ได้ เพราะบทบัญญัติมาตรา 4 อยู่ภายใต้บทบัญญัติมาตรา 7
มาตรา 7(4) คำร้องที่เสนอให้ศาลถอนคืนหรือเปลี่ยนแปลงคำสั่งหรือการอนุญาตที่ศาลได้ให้ไว้ คำร้องที่เสนอให้ศาลถอดถอนบุคคลใดจากฐานะที่ศาลได้แต่งตั้งไว้ก็ดี คำร้องที่เสนอให้ศาลมีคำสั่งใดที่เกี่ยวกับการถอนคืนหรือเปลี่ยนแปลงคำสั่งหรือการอนุญาตหรือที่เกี่ยวเนื่องกับคดีที่ศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งไปแล้วก็ดี ให้เสนอต่อศาลในคดีที่ได้มีคำสั่งการอนุญาตการแต่งตั้งหรือคำพิพากษานั้น
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่แสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิของผู้ร้องตาม ป.พ.พ.มาตรา 1382 ไม่ใช่คำสั่งเกี่ยวกับการอนุญาตหรือการแต่งตั้งของศาล ผู้คัดค้านจะขอให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งศาลในสำนวนคดีเดิมไม่ได้ ต้องฟ้องเป็นคดีมีข้อพิพาทเป็นคดีใหม่ เป็นไปตามผลของมาตรา 145(2) "คำพิพากษาหรือคำสั่งย่อมไม่ผูกพันบุคคลภายนอก เว้นแต่คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิแห่งทรัพย์สินใดๆเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจใช้ยันแก่บุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าคนมีสิทธิดีกว่า
การดำเนินกระบวนพิจารณาที่ศาลอื่น มาตรา 10
มาตรา 10 ถ้าไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาใน
ศาลชั้นต้นที่มีเขตอำนาจเหนือคดีนั้นได้โดยเหตุสุดวิสัย คู่ความฝ่าย
ที่เสียหายหรืออาจเสียหายเพราะการนั้นจะยื่นคำขอฝ่ายเดียว
โดยทำเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ซึ่งตนมีภูมิลำเนาหรืออยู่ใน
เขตศาลในขณะนั้นก็ได้ และให้ศาลนั้นมีอำนาจทำคำสั่งอย่างใด
อย่างหนึ่งตามที่เห็นสมควร เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
การยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีต่อศาลชั้นต้นตามมาตรา 10 โดยอ้างเหตุสุดวิสัยในคำร้องขอเลื่อนคดีก็ได้ ไม่จำต้องยื่นคำร้องแยกเป็นอีกฉบับหนึ่ง และเป็นอำนาจของศาลที่รับคำร้องตามมาตราสิบ ที่จะ อนุญาตหรือไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี
1374/2546 โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดขอนแก่นซึ่งโจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ โจทก์นำคำฟ้องไปยื่นต่อศาลจังหวัดอุดรธานีที่มีเจตเหนือคดีไม่ทันเนื่องจากต้องกลับมาเอาค่าธรรมเนียมซึ่งเตรียมไปไม่พอ จึงขออนุญาตยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดขอนแก่นสั่งในคำร้องส่งไปยังศาลจังหวัดอุดรธานีโดยด่วน เท่ากับยอมรับว่าโจทก์ไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นที่มีเขตอำนาจเหนือคดีนั้นได้โดยเหตุสุดวิสัยตาม ป.วิ.พ.มาตรา 10 แม้ศาลจังหวัดขอนแก่นไม่ได้สั่งรับคำฟ้อง แต่การสั่งรับคำร้องและให้ศาลจังหวัดอุดรธานีพิจารณาโดยด่วนถือได้ว่า ศาลจังหวัดขอนแก่นได้ยอมรับคำฟ้องของโจทก์แล้ว แม้ศาลจังหวัดอุดรธานีจะรับคำฟ้องของโจทก์ภายหลังก็ไม่มีผลทำให้คดีของโจทก์ขาดอายุความ
(๑)คำฟ้องหรือคำร้องขอที่เสนอภายหลังเกี่ยวเนื่อง
กับคดีที่ค้างการพิจารณาอยู่ในศาลใด ให้เสนอต่อศาลนั้น
(๒)คำฟ้องหรือคำร้องขอที่เสนอเกี่ยวเนื่องกับการ
บังคับคดีตามคำพิพากษา หรือคำสั่งของศาลซึ่งคำฟ้องหรือ
คำร้องขอนั้นจำต้องมีคำวินิจฉัยของศาลก่อนที่การบังคับคดีจะ
ได้ดำเนินไปได้โดยครบถ้วนและถูกต้องนั้น ให้เสนอต่อศาลที่
มีอำนาจในการบังคับคดี ตามมาตรา 302
4676/51 คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ขอให้จำเลยรับว่าได้รับชำระหนี้บางส่วนแก่จำเลยแล้ว และให้จำเลยคิดยอดหนี้ที่ค้างชำระเพื่อโจทก์จะได้ชำระหนี้ส่วนที่เหลือต่อไปนั้น เห็นได้ว่าคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องโจทก์ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีตามคำพิพากษา ซึ่งคำฟ้องเช่นนี้จำต้องมีคำวินิจฉัยของศาลที่มีการบังคับคดี โจทก์ต้องไปว่ากล่าวกันในคดีเดิมตามมาตรา 302
ข้อน่าสังเกตุ ข้อสัญญาที่ว่าจำเลยจะออกค่าธรรมเนียมการโอน มิใช่ข้อตกลงในสัญญายอมซึ่งศาลพิพากษาตามยอม แต่เป็นข้อตกลงที่เกิดขึ้นในภายหลัง จึงไม่อาจบังคับในคดีเดิมได้ ต้องฟ้องร้องเป็นคดีใหม่ โดยต้องฟ้องต่อศาลที่พิพากษาตามยอมนั่นเอง
กรณีมอบหมายให้ศาลอื่นบังคับคดีแทน อาจยื่นคำร้องเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีต่อศาลที่บังคับคดีแทนได้ อย่างไรก็ดี ศาลที่บังคับคดีแทนคงมีอำนาจเฉพาะที่เกี่ยวกับการบังคับคดีในส่วนที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น
ทั้งศาลเดิมและศาลที่บังคับคดีแทนมีอำนาจสั่งคำร้องที่อ้างว่าการบังคับคดีไม่ชอบได้ทั้งสองศาล แต่จากคำวินิจฉัยดังกล่าวดูเหมือนว่า กรณีศาลที่บังคับคดีแทนจะสั่งคำร้องได้ในกรณีที่ยังไม่ได้ส่งเงินที่ยึดได้หรือเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดไปยังศาลเดิมเท่านั้น
ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของ จพค.เกี่ยวกับการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึด ต้องฟ้องต่อศาลที่มี อำนาจบังคับคดี คือ ศาลที่ออกหมายบังคับคดีหรือศาลที่บังคับคดีแทนก็ได้ โจทก์จะฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลตาม มาตรา 4(1)ไม่ได้ เพราะบทบัญญัติมาตรา 4 อยู่ภายใต้บทบัญญัติมาตรา 7
มาตรา 7(4) คำร้องที่เสนอให้ศาลถอนคืนหรือเปลี่ยนแปลงคำสั่งหรือการอนุญาตที่ศาลได้ให้ไว้ คำร้องที่เสนอให้ศาลถอดถอนบุคคลใดจากฐานะที่ศาลได้แต่งตั้งไว้ก็ดี คำร้องที่เสนอให้ศาลมีคำสั่งใดที่เกี่ยวกับการถอนคืนหรือเปลี่ยนแปลงคำสั่งหรือการอนุญาตหรือที่เกี่ยวเนื่องกับคดีที่ศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งไปแล้วก็ดี ให้เสนอต่อศาลในคดีที่ได้มีคำสั่งการอนุญาตการแต่งตั้งหรือคำพิพากษานั้น
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่แสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิของผู้ร้องตาม ป.พ.พ.มาตรา 1382 ไม่ใช่คำสั่งเกี่ยวกับการอนุญาตหรือการแต่งตั้งของศาล ผู้คัดค้านจะขอให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งศาลในสำนวนคดีเดิมไม่ได้ ต้องฟ้องเป็นคดีมีข้อพิพาทเป็นคดีใหม่ เป็นไปตามผลของมาตรา 145(2) "คำพิพากษาหรือคำสั่งย่อมไม่ผูกพันบุคคลภายนอก เว้นแต่คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิแห่งทรัพย์สินใดๆเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจใช้ยันแก่บุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าคนมีสิทธิดีกว่า
การดำเนินกระบวนพิจารณาที่ศาลอื่น มาตรา 10
มาตรา 10 ถ้าไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาใน
ศาลชั้นต้นที่มีเขตอำนาจเหนือคดีนั้นได้โดยเหตุสุดวิสัย คู่ความฝ่าย
ที่เสียหายหรืออาจเสียหายเพราะการนั้นจะยื่นคำขอฝ่ายเดียว
โดยทำเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ซึ่งตนมีภูมิลำเนาหรืออยู่ใน
เขตศาลในขณะนั้นก็ได้ และให้ศาลนั้นมีอำนาจทำคำสั่งอย่างใด
อย่างหนึ่งตามที่เห็นสมควร เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
การยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีต่อศาลชั้นต้นตามมาตรา 10 โดยอ้างเหตุสุดวิสัยในคำร้องขอเลื่อนคดีก็ได้ ไม่จำต้องยื่นคำร้องแยกเป็นอีกฉบับหนึ่ง และเป็นอำนาจของศาลที่รับคำร้องตามมาตราสิบ ที่จะ อนุญาตหรือไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี
1374/2546 โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดขอนแก่นซึ่งโจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ โจทก์นำคำฟ้องไปยื่นต่อศาลจังหวัดอุดรธานีที่มีเจตเหนือคดีไม่ทันเนื่องจากต้องกลับมาเอาค่าธรรมเนียมซึ่งเตรียมไปไม่พอ จึงขออนุญาตยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดขอนแก่นสั่งในคำร้องส่งไปยังศาลจังหวัดอุดรธานีโดยด่วน เท่ากับยอมรับว่าโจทก์ไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นที่มีเขตอำนาจเหนือคดีนั้นได้โดยเหตุสุดวิสัยตาม ป.วิ.พ.มาตรา 10 แม้ศาลจังหวัดขอนแก่นไม่ได้สั่งรับคำฟ้อง แต่การสั่งรับคำร้องและให้ศาลจังหวัดอุดรธานีพิจารณาโดยด่วนถือได้ว่า ศาลจังหวัดขอนแก่นได้ยอมรับคำฟ้องของโจทก์แล้ว แม้ศาลจังหวัดอุดรธานีจะรับคำฟ้องของโจทก์ภายหลังก็ไม่มีผลทำให้คดีของโจทก์ขาดอายุความ
การตรวจคำคู่ความตามมาตรา 18
มาตรา 18 ให้ศาลมีอำนาจที่จะตรวจคำคู่ความ
ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลได้รับไว้เพื่อย่ื่นต่อศาล หรือสั่ง
ให้แก่คู่ความ หรือบุคคลใดๆ
ถ้าศาลเห็นว่าคำคู่ความที่ยื่นไว้ดังกล่าวแล้วนั้น
อ่านไม่ออกหรืออ่านไม่เข้าใจ หรือเขียนฟุ่มเฟื่อยเกินไป
หรือไม่มีรายการ ไม่มีลายมือชื่อ ไม่แนบเอกสารต่างๆตามที่
กม.ต้องการ หรือมิได้ชำระ หรือวางค่าธรรมเนียมศาล
โดยถูกต้องครบถ้วน ศาลจะมีคำสั่งให้คืนคำคู่ความนั้นไปให้ทำ
มาใหม่ หรือแก้ไขเพิ่มเติม หรือชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาล
ให้ถูกต้องครบถ้วน ภายในระยะเวลาและกำหนดเงื่อนไขใดๆ
ตลอดจนเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตามที่ศาลเห็นสมควร
ก็ได้ ถ้ามิได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาลในระยะเวลาหรือ
เงื่อนไขที่กำหนดไว้ก็ให้มีคำสั่งไม่รับคำคู่ความนั้น
ถ้าศาลเห็นว่าคำคู่ความที่ได้นำมายื่นดังกล่าวข้างต้น
มิได้เป็นไปตามเงื่อนไขแห่งกม.ที่บังคับไว้ นอกจากที่กล่าว
มาในวรรคก่อน หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเห็นว่าสิทธิของ
คู่ความหรือบุคคลซึ่งยื่นคำคู่ความนั้นได้ถูกจำกัดห้ามโดย
บทบัญญัติแห่ง กม.เรื่องเขตอำนาจศาล ก็ให้ศาลมีคำสั่ง
ไม่รับหรือคืนคำคู่ความนั้นไปเพื่อยื่นต่อศาลที่มีเขตอำนาจ
ถ้าไม่มีข้อขัดข้องดังกล่าวแล้ว ก็ให้ศาลจดแจ้งแสดง
การรับคำคู่ความน้ันไว้บนคำคู่ความนั้นเองหรือในที่อื่น
คำสั่งของศาลที่ไม่รับหรือให้คืนคำคู่ความตามมาตรานี้
ให้อุทธรณ์หรือฏีกาได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 227 228 247
- ถ้าเป็นเรื่องเงินค่าธรรมเนียมที่ผู้อุทธรณ์ต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งและต้องนำมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ตาม มาตรา 229 หากผู้อุทธรณ์ไม่นำมาวาง ศาลสั่งไม่รับไม่ได้เลย กรณีไม่ใช่เรื่องของการไม่ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วนตามมาตรา 18 ศาลไม่จำต้องกำหนดเวลาตามมาตรา 18 ให้ชำระก่อนที่จะสั่งไม่รับคำคู่ความ --968/2552--
- คำคู่ความที่ไม่มีลายมือชื่อของผู้ยื่น ศาลอาจสั่งให้ทำมาใหม่หรือสั่งแก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าวได้ตาม มาตราสิบแปด วรรคสอง ถ้าปรากฏว่าภายหลังศาลรับฟ้องแล้ว ศาลก็ต้องสั่งให้แก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าว จะถือเป็นเหตุให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษายกฟ้องเสียทีเดียวไม่ได้ , ถ้าล่วงเลยปรากฏในชั้นอุทธรณ์หรือฏีกา ศาลอุทธรณ์หรือศาลฏีกาก็ต้องยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสั่งให้แก้ไขข้อบกพร่องแล้วพิพากษาใหม่
โจทก์แต่งทนายความโดยลงลายพิมพ์นิ้วมือมีผู้รับรองเพียงคนเดียว ทนายความไม่มีอำนาจทำการแทนโจทก์ เมื่อไม่ได้ลงชื่อในคำฟ้องจึงเท่ากับคำฟ้องไม่มีลายมือชื่อโจทก์ ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งให้ทำมาใหม่หรือแก้ไขเพิ่มเติมได้ตามมาตรา 18 วรรคสอง
- กรณีทนายความยื่นอุทธรณ์โดยไม่มีอำนาจ ศาลชั้นต้นสั่งให้แก้ไขอำนาจทนายความหรือสั่งไม่รับอุทธรณ์ตามมาตรา 18 ก็ได้ การที่ผู้อุทธรณ์ยื่นใบแต่งทนายความที่ให้อำนาจทนายโจทก์ยื่นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์สั่งให้รับอุทธรณ์ไว้ ถือว่าศาลอุทธรณ์อนุญาตให้อุทธรณ์แล้ว
- ฏีกาที่ 2196/2533 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยร่วมขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยร่วมใช้สิทธิตามมาตรา 199 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยร่วมยื่นคำให้การ โดยแนบคำให้การมากับคำร้องด้วย ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเห็นว่าจำเลยร่วมจงใจไม่ยื่นคำให้การดังนี้ เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจมีคำสั่งไปตามมาตรา 199 โดยยังไม่ได้ตรวจคำให้การของจำเลยร่วม จึงมิใช่เป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามมาตรา 18 จะนำเอามาตรา 18 วรรคท้าย มาปรับแก่คดีไม่ได้ คำสั่งที่ว่าจำเลยร่วมจงใจขาดนัดยื่นคำให้การย่อมเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ตามมาตรา 226 ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณา
- คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้คืนคำคู่ความไปทำมาใหม่ แต่ผู้ยื่นคำคู่ความไม่ปฏิบัติตามตามภายในกำหนดเวลา ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับคำคู่ความนั้นอีก ดังนี้แม้จะมีการอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์(แต่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับ)มาแล้ว ก็ยังมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งให้คืนคำคู่ความได้ ทั้งนี้ถือเป็นการอุทธรณ์ตามมาตรา 18 วรรคท้าย ประกอบด้วยมาตรา 227 228(3) ซึ่งอุทธรณ์ได้ภายในกำหนดเวลา 1 เดือนนับแต่วันที่ ศ.ชั้นต้นมีคำสั่ง ----- กรณีนี้ไม่ได้ตกอยู่ในบังคับของ มาตรา 234 แห่ง ป.วิ.พ.ที่จำเลยต้องอุทธรณ์คำสั่งภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์แต่อย่างใด เพราะกรณีนี้อยู่ในชั้นตรวจคำคู่ความ------เยี่ยมมาก-------
การสั่งไม่รับฟ้องตามมาตรา 18 ยังไม่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี ผู้พิพากษานายเดียวจึงมีอำนาจสั่งได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 21(2)
- เรื่องน่าสนใจ กรณีฟ้องโจทก์ต้องห้ามตามบทบัญญัติเรื่องเขตอำนาจศาล ตามมาตรา 18 วรรคสองที่บัญญัติให้ศาลไม่รับหรือคืนคำฟ้องเพื่อให้ไปยื่นต่อศาลที่มีเขตอำนาจ อย่างไรก็ตาม หากปัญหาเรื่องเขตอำนาจศาลกลายเป็นประเด็นข้อพิพาท อันศาลจะต้องรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าคดีไม่ได้อยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้น ศาลก็พิพากษายกฟ้องได้ และเมื่อฟังได้ว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดีแล้ว กรณีไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 151วรรคหนึ่งอันศาลจะคืนค่าขึ้นศาลให้แก่โจทก์ได้
การขยายหรือย่นระยะเวลา มาตรา 23
มาตรา 23 เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคู่ความ
ฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้อง ให้ศาลมีอำนาจ
ที่จะออกคำสั่งขยายหรือย่นระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในประมวล
กม.นี้หรือตามที่ศาลได้กำหนดไว้ หรือระยะเวลาที่เกี่ยว
ด้วยวิธีพิจารณาความแพ่งอันกำหนดไว้ในกฏหมายอื่น เพื่อ
ให้ดำเนินหรือมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใดๆก่อนสิ้นระยะ
เวลานั้น แต่การขยายหรือย่นเวลาเช่นว่านี้ให้พึงทำได้ต่อเมื่อ
มีพฤติการณ์พิเศษ และศาลได้มีคำสั่งหรือคู่ความมีคำขอขึ้นมา
ก่อนสิ้นระยะเวลานั้น เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย
- กรณีใดจะถือว่ามีพฤติการณ์พิเศษหรือไม่ ต้องดูเป็นรายกรณีไป ถ้าเป็นเรื่องระหว่างจำเลยกับทนายจำเลย กรณีไม่มีพฤติการณ์พิเศษแต่อย่างใด
- เมื่อวันครบกำหนดยื่นฎีกาตรงกับวันเสาร์ โจทก์จึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฏีกาได้ในวันจันทร์ แต่การเร่ิมนับเวลาที่ศาลอนุญาตให้ขยายได้ต้องเร่ิมนับต่อจากวันที่ครบกำหนดเดิม คือ ต้องเร่ิมนับตั้งแต่วันอาทิตย์
- ต้องขอขยายระยะเวลาก่อนสิ้นกำหนดเวลานั้น เว้นแต่มีเหตุสุดวิสัย เหตุสุดวิสัยหมายถึงพฤติการณ์นอกเหนือที่ทำให้ศาลไม่อาจจะมีคำสั่งให้ขยายระยะเวลาก่อนสิ้นระยะเวลาที่ กม.หรือศาลกำหนดไว้
การชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมาย มาตรา 24
มาตรา 24 เมื่อคู่ความฝ่ายใดยกปัญหาข้อกฏหมาย
ขึ้นอ้้าง ซึ่งถ้าหากได้วินิจฉัยให้เป็นคุณแก่ฝ่ายนั้นแล้ว จะ
ไม่ต้องมีการพิจารณาคดีต่อไปอีก หรือไม่ต้องพิจารณาประเด็น
สำคัญแห่งคดีบางข้อ หรือถึงแม้จะดำเนินนการพิจารณาประเด็น
ข้อสำคัญแห่งคดีไป ก็ไม่ทำให้ความชัดขึ้นมาอีก เมื่อศาล
เห็นสมควรหรือเมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีคำขอ ให้ศาล
มีอำนาจที่จะมีคำสั่งให้มีผลว่าก่อนดำเนินการพิจารณาต่อไป
ศาลจะได้พิจารณาปัญหาข้อ กม.เช่นว่านี้แล้ว วินิจฉัยชี้ขาด
เบื้องต้นในปัญหานั้น
- ถ้าปัญหาที่ศาลวินิจฉัยเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ก็ไม่ใช่เป็นการชี้ขาดตามมาตรานี้ และเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226 คู่ความมรณะ
มาตรา 42 ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในคดีที่ค้าง
พิจารณาอยู่ในศาลได้มรณะเสียก่อนศาลพิพากษาคดี ให้่ศาล
เลื่อนการนั่งพิจารณาไปจนกว่าทายาทของผู้มรณะหรือผู้จัดการ
ทรัพย์มรดกของผู้มรณะ หรือบุคคลอื่นใดที่ปกครองทรัพย์
มรดกไว้ จะได้เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ โดยมีคำขอ
เข้ามาเอง หรือโดยที่ศาลหมายเรียกให้เข้ามา เนื่องจากคู่ความ
ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีคำขอฝ่ายเดียว คำขอเช่นว่านี้จะต้องยื่น
ภายในกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นมรณะ
-เมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมรณะ ศาลจะต้องเลื่อนการนั่งพิจารณาออกไป [j-vp31%]
-การชี้สองสถาน เป็นการนั่งพิจารณาอย่างหนึ่ง - จำเลยตายระหว่างอุทธรณ์ คดีจะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปก็ต่อเมื่อมีบุคคลเข้าแทนที่คู่ความมรณะ และศาลจะต้องมีคำสั่งในการเข้ามาแทนที่ตาม ม.42 , 43 ก่อน เมื่อศาลอุทธรณ์ทำคำพิพากษาแล้วส่งมาให้ ศ.ต้น อ่าน โดยไม่ได้สั่งคำร้องของโจทก์ที่ให้เรียกทายาทจำเลยเข้ามาแทนที่คู่ความมรณะเสียก่อน เป็นการไม่ปฏิบัติตาม 243(2) ประกอบ 247 ศ.ฏีกาย่อมพิพากษายกคำพิพากษา ศ.อุทธรณ์ แล้วให้ ศ.อุทธรณ์พิพากษาใหม่ (ข้อสังเกตุเป็นบทบังคับให้ศาลต้องเลื่อนการนั่งพิจารณาออกไป จนกว่าจะมีคู่ความแทนที่ผู้มรณะแล้วจึงดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป)
- แสดงว่าต้องปรากฏต่อศาลที่พิจารณาคดีอยู่ว่าคู่ความมรณะ ดังนั้น แม้คู่ความได้มรณะระหว่างการพิจารณาของศาล แต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงต่อศาล ศาลจึงได้ดำเนินกระบวนพิจารณาไป โดยไม่มีผู้เข้าเป็นคู่ความแทนจนมีคำพิพากษาจถือว่าเป็นการดำเนินคดีที่ไม่ชอบไม่ได้
- จำเลยถึงแก่กรรมในระหว่างการพิจารณาของ ศ.อุทธรณ์ ศ.ต้นต้องส่งคำร้องขอให้หมายเรียกทายาทเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะไปยัง ศ.อุทธรณ์เพื่อสั่ง แต่ ศ.ต้นไม่ได้ส่งคำร้องไป ศ.อุทธรณ์ จนกระทั่ง ศ.อุทธรณ์ทำคำพิพากษาเสร็จแล้วมาให้ ศ.ต้นอ่าน จึงถือไม่ได้ว่า ศาลอุทธรณ์ทราบเรื่องจำเลยมรณะ อันจะทำให้กระบวนพิจารณาของ ศ.อุทธรณ์ไม่ชอบฯ แต่การที่ ศ.ต้น อ่านคำพิพากษาของ ศ.อุทธรณ์ฯ โดยทราบอยู่แล้วว่าจำเลยมรณะและยังไม่ได้มีผู้เข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะนั้น เป็นการไม่ชอบ ศ.ฏีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษา ศ.อุทธรณ์ แล้วให้ ศ.ต้น ส่งสำนวนไปให้ ศ.อุทธรณ์ เพื่อดำเนินการ 42 - "ช่วงระยะเวลาอุทธรณ์หรือฏีกา" - ช่วงเวลาตั้งแต่ ศ.ต้น อ่านคำพิพากษาของ ศ.ต้น หรือ ศ.อุทธรณ์ จนถึงเวลายื่นอุทธรณ์หรือฏีกา หรือจนกว่าคดีจะถึงที่สุด (ครบกำหนด 1 เดือนโดยไม่มีการอุทธรณ์ฏีกา) ถือว่าเป็นกรณีที่คดีค้างพิจารณาอยู่ในศาลระหว่างอุทธรณ์หรือฏีกาเช่นกัน ทายาทของคู่ความผู้มรณะจึงมีสิทธิขอเข้าไปคู่ความแทนที่เพื่อใช้สิทธิอุทธรณ์หรือฏีกาได้
- ในชั้นบังคับคดี ไม่ใช่กรณีที่เป็นคดีค้างพิจารณาอยู่ในศษล เมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถึงแก่ความตายในชั้นบังคับคดี ไม่อยู่ภายใต้บังคับของ มาตรา 42-44 จึงไม่ต้องพิจารณาถึงหลักเกณฑ์ตามบทบัญญัติดังกล่าว เช่น ไม่ต้องขอเข้ารับมรดกความใน 1 ปี ตามมาตรา 42 แต่ถือว่าสิทธิในการบังคับคดีเป็นมรดกตกทอดตาม ปพพ.1599 1600
- ถ้าจำเลยตาย โจทก์ก็ขอบังคับคดีให้แก่ทายาทหรือผู้จัดการมรดกของจำเลยได้โดยไม่ต้องเรียกทายาทหรือผู้จัดการมรดกของจำเลยเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยก่อน
- ในชั้นบังคับคดี กรณีโจทก์ตายแม้ผู้จัดการมรดกหรือทายาทไม่ได้ขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ ก็มีสิทธิขอดำเนินการบังคับคดีต่อไปได้
- ประหลาด..... แม้จะอยู่ในชั้นบังคับคดี ถ้ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับการบังคับคดีและมีการพิจารณาข้อโต้แย้งดังกล่าว ถือว่าเป็นกรณีคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ ดังนี้ ระหว่างพิจารณาข้อโต้แย้ง ถ้าคู่ความฝ่ายใดตาย ก็ถือว่าเป็นกรณีที่คู่ความมรณะในคดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาล จึงต้องมีการรับมรดกความ ตาม ปวิพ.42
- บุคคลที่จะเข้ามาเป็นคู่ความแทน ได้แก่ ทายาทของผู้มรณะ , ผู้จัดการทรัพย์มรดกของผู้มรณะ , ผู้ปกครองทรัพย์มรดก
- กรณีทายาทจะต้องเป็นทายาทที่มีสิทธิได้รับมรดกของผู้มรณะด้วย แต่ไม่ต้องคำนึงว่าทายาทนั้นจะได้รับทรัพย์มรดกหรือมีทรัพย์มรดกตกทอดแก่ทายาทหรือไม่ เพราะทายาทไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวหรือรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดแก่ตน
- ถ้าคู่ความที่มรณะได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล ถึงแม้ผู้ที่เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จะมีทรัพย์สิน ก็มีสิทธิได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลต่อไปได้
- กรณีศาลอนุญาตให้มีการเข้าแทนที่คู่ความแทนที่จำเลย ศาลจะพิพากษาให้ผู้เข้าเป็นคู่ความแทนที่นั้นชำระหนี้ให้แก่โจทก์ไม่ได้ ต้องพิพากษาให้จำเลยชำระ แม้จำเลยจะตายไปแล้ว
- การอนุญาตให้บุคคลเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ เป็นดุลพินิจของศาลจะอนุญาตหรือไม่ก็ได้
- คดีที่พิพาทเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่เฉพาะตัว รับมรดกความไม่ได้
คดีร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก , การคัดค้านการขอตั้งผู้จัดการมรดก
ร้องขอตั้งผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์
เป็นเรื่องเฉพาะตัวของคู่ความผู้มรณะ จึงไม่อาจขอรับมรดกความได้
- โจทก์,จำเลยดำเนินคดีในฐานะผู้จัดการมรดก เป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้จัดการมรดก จึงรับมรดกความไม่ได้
- ผู้ถือหุ้นเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะกรรมการของบริษัทขอให้ศาลเพิกถอนมติที่ประชุมของบริษัท ไม่มีลักษณะเป็นการเฉพาะตัวของโจทก์ เมื่อโจทก์มรณะ ทายาทของโจทก์ย่อมมีสิทธิได้กรรมสิทธิ์ในหุ้นและเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ได้
- ความเหมือนกันระหว่าง สิทธิในการบอกล้างระหว่างสมรส กับ สิทธิอาศัย คือ
ก.สิทธิในการบอกล้างสัญญาระหว่างสมรส เป็นสิทธิเฉพาะตัวของคู่สมรส แต่เมื่อได้มีการบอกล้างสัญญาดังกล่าวแล้ว ก็ไม่เป็นสิทธิเฉพาะตัวอีกต่อไป และสิทธิย่อมตกแก่ทายาท จึงรับมรดกความได้ ข.สิทธิอาศัยเช่นเดียวกัน เป็นสิทธิเฉพาะตัว เมื่อผู้ทรงสิทธิอาศัยถึงแก่ความตาย สิทธิอาศัยย่อมระงับ แต่ถ้าศาลชั้นต้นพิพากษาให้ผู้ทรงสิทธิอาศัยได้รับค่าเสียหายด้วย ในส่วนของค่าเสียหายตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมีลักษณะเป็นทรัพย์สิน ไม่ใช่สิทธิเฉพาะตัวย่อมรับมรดกความกันได้ ---หลักคิดในเรื่องนี้คือ มันเปลี่ยนสภาพจากสิทธิเฉพาะตัว เป็นมูลหนี้ที่สามารถเรียกร้องได้แล้ว ทายาทก็สามารถสวมสิทธิในการเรียกร้องกันได้---
- รับมรดกความมีผลเป็นคดีอุทลุม ต้องห้าม ปพพ.มาตรา 1562 รับมรดกความไม่ได้
- ทนายความอยู่ในฐานะตัวแทนของคู่ความ เมื่อคู่ความตาย สัญญาตัวแทนระงับลง แต่ทนายความยังคงมีอำนาจกระทำการอันสมควรเพื่อปกปักรักษาประโยชน์ของคู่ความจนกว่าทายาทหรือผู้จัดการมรดกจะเข้าเป็นคู่ความแทนที่ตาม ปพพ.828 ถ้าคู่ความตายในระหว่างเวลาที่ยื่นอุทธรณ์หรือฏีกา ทนายความมีอำนาจยื่นอุทธรณ์หรือฏีกาได้ แต่เมื่อครบกำหนด 1 ปี แล้วไม่มีการขอเข้าเป็นคู่ความแทนผู้มรณะ ศาลต้องจำหน่ายคดี
- 2071/2550 ผู้ร้องถึงแก่กรรมขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ทายาทหรือผู้จัดการมรดกหรือผู้ปกครองทรัพย์มรดกไม่ได้ร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนผู้ร้องภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ผู้ร้องถึงแก่กรรม ตาม ปวิพ.42 จนกระทั่งโจทก์ยื่นคำร้องขอให้จำหน่ายคดีและศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความแล้ว จึงถือว่าได้ล่วงพ้นระยะเวลาที่ตัวแทนหรือทนายผู้ร้องจะจัดการตาม ปพพ.มาตรา 825 ทนายผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจดำเนินคดีแทนผู้ร้องต่อไป
- แม้จะเกิน 1 ปี ก็อยู่ในดุลพินิจที่ศาลจะสั่งจำหน่ายคดีหรือไม่ก็ได้........
ศาลที่มีอำนาจสั่งในเรื่องการรับมรดกความ
ก.คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลใดศาลหนึ่ง
-โดยหลักต้องเป็นศาลที่มีอำนาจสั่ง -5051/2543โจทก์ถึงแก่ความตายก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค1ต้องถือว่าโจทก์ถึงแก่ความตายในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ภาค1 แต่ระวังมีฏีกาซ้อนเล็กน้อย - -- จำเลยถึงแก่กรรมขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 ที่จะมีคำสั่งเกี่ยวกับการเข้าเป็นคู่ความแทนที่ เมื่อ บ. ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลย ศ.ต้นจะต้องทำการไต่สวนให้ได้ความว่าผู้ร้องเป็นภริยาโดยชอบด้วย กม.หรือไม่ แล้วส่งคำร้องดังกล่าวไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 เพื่อพิจารณาสั่ง การที่ ศ.ต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จึงไม่ชอบ ให้ยกคำร้องของศาลชั้นต้น แต่........เมื่อคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฏีกาแล้ว ศาลฏีกามีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 สั่ง
ข.กรณีคู่ความมรณะระหว่างกำหนดเวลาอุทธรณ์หรือฏีกา แบ่งออกเป็น 2 กรณี
1.ก่อนศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์หรือฏีกา --- สำหรับในระหว่างกำหนดเวลาอุทธรณ์หรือฏีกา นับแต่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น , คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ไปจนถึงเวลาก่อนที่ ศ.ต้น รับอุทธรณ์หรือฏีกา ยังคงอยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะสั่งเรื่องการรับมรดกความ เพราะยังไม่มีคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์หรือฏีกา
2.กรณีศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์หรือฏีกาแล้วแต่ยังไม่ได้ส่งสำนวนไปศาลสูง
---ก็ถือว่าคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของอุทธรณ์หรือศาลฏีกาแล้ว ศ.ต้นไม่มีอำนาจสั่งคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ไม่ว่าจะเป็นการอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้เข้าเป็นคู่ความแทนที่ แต่เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์หรือศาลฏีกาแล้วแต่กรณี ***ข้อสังเกตุ กรณีคู่ความมรณะระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์หรือศาลฏีกา ซึ่งเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์หรือศาลฏีกาที่จะพิจารณามีคำสั่ง ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะจึงเป็นการทำแทนศาลฏีกา คู่ความจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่เกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณานั้น
-คำสั่งอนุญาตให้เข้าแทนที่คู่ความมรณะเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา แต่ถ้าเป็นคำสั่งไม่อนุญาต ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
รายงานและสำนวนความ มาตรา 46-54
- ต้นฉบับเอกสารทำขึ้นเป็นภาษาต่างประเทศ ไม่จำต้องทำคำแปลเสมอไป นอกจากศาลจะสั่ง , เมื่อได้ทำคำแปลภาษาต่างประเทศแล้วก็ไม่ต้องนำผู้แปลมาสืบ การลงชื่อในรายงานกระบวนพิจารณา
- มาตรา 50(2) ถ้าคู่ความหรือบุคคลที่จะต้องลงลายมือชื่อในรายงานดังกล่าว ลงลายมือชื่อไม่ได้หรือไม่ยอมลงลายมือชื่อ ให้ศาลทำรายงานจดแจ้งเหตุที่ไม่มีลายมือชื่อนั้นไว้แทนการลงลายมือชื่อ แต่มีฏีกา 195/2521 วางหลักว่า
ก.จะนำ ม.50(2) มาเป็นข้อยกเว้นเรื่องสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตาม ปพพ.มาตรา 851 ไม่ได้
ข.คำพิพากษาตามยอมดังกล่าว ขัดต่อ กม.ที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน อุทธรณ์ฏีกาได้ ไม่ต้องห้ามตาม มาตรา 138(2)
ค.ขั้นตอนการมีคำสั่ง
1.ให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ
2.ยกคำพิพากษาตามยอม
3.ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ การขอตรวจและขอคัดเอกสารในสำนวน มาตรา 54
- มาตรา 54(2) ห้ามมิให้อนุญาตให้คู่ความคัดถ้อยคำพยานฝ่ายตนจนกว่าจะได้สืบ
ก.คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลใดศาลหนึ่ง
-โดยหลักต้องเป็นศาลที่มีอำนาจสั่ง -5051/2543โจทก์ถึงแก่ความตายก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค1ต้องถือว่าโจทก์ถึงแก่ความตายในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ภาค1 แต่ระวังมีฏีกาซ้อนเล็กน้อย - -- จำเลยถึงแก่กรรมขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 ที่จะมีคำสั่งเกี่ยวกับการเข้าเป็นคู่ความแทนที่ เมื่อ บ. ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลย ศ.ต้นจะต้องทำการไต่สวนให้ได้ความว่าผู้ร้องเป็นภริยาโดยชอบด้วย กม.หรือไม่ แล้วส่งคำร้องดังกล่าวไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 เพื่อพิจารณาสั่ง การที่ ศ.ต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จึงไม่ชอบ ให้ยกคำร้องของศาลชั้นต้น แต่........เมื่อคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฏีกาแล้ว ศาลฏีกามีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 สั่ง
ข.กรณีคู่ความมรณะระหว่างกำหนดเวลาอุทธรณ์หรือฏีกา แบ่งออกเป็น 2 กรณี
1.ก่อนศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์หรือฏีกา --- สำหรับในระหว่างกำหนดเวลาอุทธรณ์หรือฏีกา นับแต่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น , คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ไปจนถึงเวลาก่อนที่ ศ.ต้น รับอุทธรณ์หรือฏีกา ยังคงอยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะสั่งเรื่องการรับมรดกความ เพราะยังไม่มีคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์หรือฏีกา
2.กรณีศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์หรือฏีกาแล้วแต่ยังไม่ได้ส่งสำนวนไปศาลสูง
---ก็ถือว่าคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของอุทธรณ์หรือศาลฏีกาแล้ว ศ.ต้นไม่มีอำนาจสั่งคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ไม่ว่าจะเป็นการอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้เข้าเป็นคู่ความแทนที่ แต่เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์หรือศาลฏีกาแล้วแต่กรณี ***ข้อสังเกตุ กรณีคู่ความมรณะระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์หรือศาลฏีกา ซึ่งเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์หรือศาลฏีกาที่จะพิจารณามีคำสั่ง ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะจึงเป็นการทำแทนศาลฏีกา คู่ความจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่เกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณานั้น
-คำสั่งอนุญาตให้เข้าแทนที่คู่ความมรณะเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา แต่ถ้าเป็นคำสั่งไม่อนุญาต ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
รายงานและสำนวนความ มาตรา 46-54
- ต้นฉบับเอกสารทำขึ้นเป็นภาษาต่างประเทศ ไม่จำต้องทำคำแปลเสมอไป นอกจากศาลจะสั่ง , เมื่อได้ทำคำแปลภาษาต่างประเทศแล้วก็ไม่ต้องนำผู้แปลมาสืบ การลงชื่อในรายงานกระบวนพิจารณา
- มาตรา 50(2) ถ้าคู่ความหรือบุคคลที่จะต้องลงลายมือชื่อในรายงานดังกล่าว ลงลายมือชื่อไม่ได้หรือไม่ยอมลงลายมือชื่อ ให้ศาลทำรายงานจดแจ้งเหตุที่ไม่มีลายมือชื่อนั้นไว้แทนการลงลายมือชื่อ แต่มีฏีกา 195/2521 วางหลักว่า
ก.จะนำ ม.50(2) มาเป็นข้อยกเว้นเรื่องสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตาม ปพพ.มาตรา 851 ไม่ได้
ข.คำพิพากษาตามยอมดังกล่าว ขัดต่อ กม.ที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน อุทธรณ์ฏีกาได้ ไม่ต้องห้ามตาม มาตรา 138(2)
ค.ขั้นตอนการมีคำสั่ง
1.ให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ
2.ยกคำพิพากษาตามยอม
3.ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ การขอตรวจและขอคัดเอกสารในสำนวน มาตรา 54
- มาตรา 54(2) ห้ามมิให้อนุญาตให้คู่ความคัดถ้อยคำพยานฝ่ายตนจนกว่าจะได้สืบ
ได้ความรู้ดีมากครับ แต่เสียงเบาไปนะครับ
ตอบลบ