วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ตัวบท(ย่อ)แพ่ง อาญา กม.พิเศษ

สรุปย่อตัวบท  แพ่ง  อาญา  และ กม.พิเศษ ต่าง ๆ ที่สำคัญ

---------------------------------------------------------------------------

แพ่งและพาณิชย์

ข้อ ๑ ทรัพย์ – ที่ดิน (ม.137-148,1298-1434)
  ม.144 ส่วนควบ คือส่วนซึ่งโดยสภาพแห่งทรัพย์ / โดยจารีตประเพณี เป็นสาระสำคัญของทรัพย์ + ไม่อาจแยกจากกันได้ นอกจากทำลาย ทำให้บุบสลาย ทำให้เปลี่ยนรูปทรงไป
 
ว.2 เจ้าของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบ
 
ม.146 ทรัพย์ซึ่งติดอยู่กับที่ดิน / โรงเรือนเพียงชั่วคราว ไม่เป็นส่วนควบ รวมถึงโรงเรือน / สิ่งปลูกสร้างซึ่งมีสิทธิ์ในที่ดินของผู้อื่น
 
ม.1298 ทรัพยสิทธิทั้งหลาย จะก่อตั้งขึ้นได้ด้วยอาศัยอำนาจในประมวลกฎหมายนี้ / กฎหมายอื่น
ม.1299 การได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังฯ/ทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาฯไม่บริบูรณ์ เว้นแต่จะทำเป็นหนังสือ+จดทะเบียน
ว.2 การได้มาซึ่งอสังฯ/ทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังฯ ดดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม ถ้ามิได้จดทะเบียน จะมีการเปลี่ยนแปลง ทางทะเบียนมิได้ และมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้รับโอนมาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน + สุจริต + จดทะเบียน
ม.1300 ถ้าได้จดทะเบียนการโอนอสังฯ / ทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังฯเป็นทางเสียเปรียบแก่อยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนได้ก่อน บุคคลนั้นอาจเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนนั้นได้ เว้นแต่การโอนอันมีค่าตอบแทน + ผู้รับโอนสุจริต
ม.1304 สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น รวมถึงทรัพย์สินทุกชนิดของแผ่นดินซึ่งได้ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ / สงวนไว้ใช้ร่วมกัน (1) ที่รกร้างว่างเปล่า (2) ทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน (3) ทรัพย์สินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ
ม.1308 ที่ดินแปลงใดที่งอก ที่งอกย่อมเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่ดินแปลงนั้น
ม.1330 ผู้ซื้อทรัพย์โดยสุจริตจากการขายทอดตลาดมิเสียไป แม้ภายหลังพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินนั้นไม่ใช่ของจำเลย / ลูกหนี้
ม.1332 ผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตในการขายทอดตลาด / ในท้องตลาด / จากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น ไม่ต้องคืนให้แก่เจ้าของที่แท้จริง เว้นแต่เจ้าของที่แท้จริงจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา
ม.1336 ภายใต้บังคับแห่งกฎหมาย เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิใช้สอย + จำหน่าย + ได้ดอกผล + ติดตามเอาคืน + ขัดขวาง
ม.1349 ที่ดินแปลงใดที่มีที่ดินแปลงอื่นล้อมรอบจนไม่มีทางออกสาธารณะ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านทางที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะก็ได้ ทั้งนี้ต้องพอควรแก่ความจำเป็น / เสียหายน้อย / สร้างถนนก็ได้ แต่ต้องใช้ราคาแทน
ม.1375 ถ้าผู้แย่งการครอบครองโดยมิชอบ มีสิทธิจะได้คืนซึ่งการครอบครองโดยต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง เว้นแต่อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินดีกว่า
ม.1377 ผู้ครอบครองสละเจตนาครอบครอง / ไม่ยึดถือทรัพย์สินต่อไป การครอบครองย่อมสิ้นสุดลง
ว.2 ถ้าเหตุชั่วคราวมาขัดขวางมิให้ครอบครอง / ยึดถือ การครอบครองย่อมไม่สิ้นสุดลง
ม.1378 การโอนไปซึ่งการครอบครองย่อมทำได้โดยส่งมอบทรัพย์สินที่ครอบครอง
ม.1381 บุคคลใดยึดถือแทนผู้ครอบครอง จะเปลี่ยนแปลงการยึดถือได้ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่าไม่มีเจตนาจะยึดถือต่อไป
ม.1382 บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้ โดยสงบ + เปิดเผย + ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังฯ ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นระยะเวลา 10 ปี ถ้าเป็นสังหาฯ ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นระยะเวลา 5 ปี บุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์
ม.1385 การโอนการครอบครองแก่กัน ผู้รับโอนจะนับเวลาซึ่งผู้โอนครอบครองอยู่ก่อนนั้น รวมเข้ากับเวลาครอบครองของตนก็ได้
ม.1387 อสังฯอาจต้องตกอยู่ในภารจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน/ต้องงดเว้นการใช้สิทธิ์บางอย่าง เพื่อประโยชน์แก่อสังหาฯอื่น
ม.1401 ภารจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ 10 ปี

ข้อ ๒ , ๓ นิติกรรม สัญญา หนี้ ละเมิด
ม.150 การใดมีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายเป็นการพ้นวิสัย/ขัดต่อความสงบเรียบร้อย /ศีลธรรมอันดีเป็นโมฆะ
ม.152 การใดมิได้ทำแบบที่กฎหมายบังคับ การนั้นเป็นโมฆะ
ม.153 การใดมิได้เป็นไปตามบทบัญญัติของกำหมายว่าด้วยความสามารถของบุคคล การนั้นเป็นโมฆียะ
ม.169 การแสดงเจตนาต่อบุคคลซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า มีผลนับแต่เวลาที่เจตนาไปถึงผู้รับ แต่ถ้าได้บอกถอนก่อน/พร้อมกันเป็นอันไร้ผล
ม.354 คำเสนอบ่งระยะเวลาไม่อาจถอนได้ภายนะระยะเวลาที่บ่ง
ม.357 คำเสนอที่บอกปัดไปยังผู้เสนอแล้ว/ มิได้สนองภายในระยะเวลาที่กำหนดเป็นอันสิ้นความผูกพัน
ม.358 คำบอกกล่าวสนองมาถึงถึงล่วงเวลา แต่ประจักษ์ว่าได้ส่งโดยทางการซึ่งปกติจะมาถึงภายในกำหนด ผู้เสนอต้องบอกแก่คู่กรณีโดยพลันว่ามาถึงช้า เว้นแต่ได้บอกก่อนแล้ว
ม.360 มาตรา 169ว.2 มิให้ใช้คำบังคับถ้าหากขัดเจตนาอันผู้เสนอได้แสดง/หากว่าก่อสนองรับนั้น อีกฝ่ายหนึ่งรู้แล้วว่าผู้เสนอตาย
ม.361 สัญญาระหว่างบุคคลซึ่งอยู่ห่างไกลกัน ย่อมเกิดเป็นสัญญาขึ้นเมื่อคำบอกกกล่าวสนองไปถึงผู้เสนอ
ว.2 ถ้าตามเจตนาอันผู้เสนอได้แสดง/ตามประเพณีไม่จำเป็นต้องมีคำสนอง สัญญาเกิดเมื่อมีการอันใดอันหนึ่งขึ้น อันพึงสันนิษฐานได้ว่าเป็นการแสดงเจตนาสนองรับ
ม.366 ข้อความใดๆ แห่งสัญญาอันคู่สัญญาแม้เพียงฝ่ายเดียว ได้แสดงไว้เป็นสาระสำคัญอันจะต้องตกลงกันทุกข้อนั้น หากคู่สัญญายังไม่ตกลงกันได้หมดทุกข้อ เมื่อสงสัย ถือว่ายังไม่มีสัญญาต่อกัน ไม่ผูกพัน
ว.2 ถ้าได้ตกลงกันว่าสัญญาจะต้องทำกันเป็นหนังสือ เมื่อสงสัย ถือว่ายังไม่มีสัญญาต่อกันจนกว่าจะได้ทำเป็นหนังสือ
ม.370 ถ้าสัญญาต่างตอบแทน มีวัตถุประสงค์เป็นการก่อให้เกิด/ โอนทรัพยสิทธิในทรัพย์เฉพาะสิ่ง และทรัพย์นั้นสูญหาย/เสียหายไปด้วยเหตุใด อันจะลงโทษลูกหนี้มิได้ การสูญหาย/เสียหายนั้นตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้
ว.2 ถ้าไม่ใช่ทรัพย์เฉพาะสิ่งให้ใช้บังคับเมื่อทรัพย์นั้นกลายเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่ง ตามม.195ว.2
ม.372 ถ้าการชำระหนี้เป็นการพ้นวิสัยอันจะโทษฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมิได้ ลูกหนี้ไม่มีสิทธิได้รับการชำระหนี้ตอบแทน
ว.2 ถ้าการชำระตกเป็นพ้นวิสัย อันจะโทษเจ้าหนี้ได้ ลูกหนี้ก็ไม่เสียสิทธิที่จะรับชำระหนี้ตอบแทน แต่ถ้าลูกหนี้ ได้อะไรไว้เพราะการปลดหนี้ / ความสามารถของตนเป็นเหตุให้ได้มา / แกล้งละเลยไม่ขวนขวายมากน้อยเท่าใดจะต้องนำเอามาหักกับจำนวนอันตนจะได้รับชำระหนี้ตอบแทน รวมถึงกรณีที่การชำระหนี้อันฝ่ายหนึ่งค้างอยู่เป็นพ้นวิสัย
ม.377 เมื่อเข้าทำสัญญา ถ้าได้ให้สิ่งใดไว้เป็นมัดจำ ถือว่ามัดจำนั้นเป็นพยานหลักฐานว่าสัญญานั้นได้ทำกันขึ้นแล้ว
 
อนึ่งมัดจำย่อมเป็นประกันการที่จะปฎิบัติตามสัญญานั้นด้วย
ม.378 มัดจำถ้ามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น (2) ให้ริบ ถ้าฝ่ายที่วางมัดจำละเลยไม่ชำระหนี้ / การชำระหนี้เป็นพ้นวิสัยซึ่งฝ่ายนั้นต้องรับผิด/ ถ้าการเลิกสัญญาเพราะความผิดของฝ่ายนั้น
ม.380 ถ้าลูกหนี้ได้สัญญาไว้ว่าจะให้เบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้ เจ้าหนี้จะเรียกเอาเบี้ยปรับนั้นแทนการชำระหนี้ก็ได้ แต่ถ้าเจ้าหนี้แสดงต่อลูกหนี้ว่าจะเอาเบี้ยปรับแล้ว ก็เป็นอันขาดสิทธิเรียกร้องชำระหนี้อีกต่อไป
ว.2 ถ้าสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อการไม่ชำระหนี้ จะเรียกเอาเบี้ยปรับอันจะพึงริบในฐานเป็นจำนวนน้อยที่สุดแห่งค่าเสียหายก็ได้
ม.381 ถ้าลูกหนี้ได้สัญญาไว้ว่าจะให้เบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้อง นอกจากเรียกให้ชำระหนี้ เจ้าหนี้จะเรียกเอาเบี้ยปรับอันจะพึงริบนั้นอีกด้วยก็ได้
ว.2 ถ้าเจ้าหนี้มสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในมูลหนี้ไม่ถูกต้อง ให้บังคับตามมาตรา 380 ว.2
ว.3 ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับชำระหนี้แล้ว จะเรียกเอาเบี้ยปรับได้ต่อเมื่อได้บอกสงวนสิทธิไว้ในเวลารับชำระหนี้
ม.382 ถ้าสัญญาว่าจะทำการชำระหนี้อย่างอื่น ให้เป็นเบี้ยปรับไม่ใช้เงิน ให้นำมาตรา 379-381 มาใช้บังคับ แต่ถ้าเจ้าหนี้เรียกเอาเบี้ยปรับแล้ว สิทธิเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเป็นอันหมดไป
ม.387 ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ อีกฝ่ายหนึ่งจะกำหนดเวลาพอสมควรแล้วบอกกล่าวให้ฝ่ายนั้นชำระหนี้ภายในระยะเวลานั้นก็ได้ ถ้าฝ่ายนั้นไม่ชำระภายในระยะเวลาที่กำหนดอีกฝ่ายจะเลิกเสียก็ได้
ม.388 ถ้าวัตถุที่ประสงค์แห่งสัญญานั้น ว่าโดยสภาพ/เจตนาที่คู่สัญญาแสดงไว้จะเป็นผลสำเร็จได้ก็แต่ด้วยการชำระหนี้ภายในระยะเวลา และระยะเวลานั้นได้ล่วงพ้นไปแล้ว อีกฝ่ายจะบอกเลิกสัญญาเสียโดยมิพักต้องบอกกล่าว
ม.389 ถ้าการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยทั้งหมดหรือบางส่วน อันจะโทษลูกหนี้ได้ เจ้าหนี้จะเลิกสัญญานั้นเสียก็ได้
ม.391 เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะเดิม แต่ทั้งนี้จะให้เสื่อมเสียแก่สิทธิของบุคคลภายนอกหาได้ไม่
ว.2 ส่วนเงินอันจะใช้คืนนั้น บวกดอกเบี้ยเข้าไปด้วยได้ ตั้งแต่เวลาที่ได้รับไว้
ว.4 การใช้สิทธิเลิกสัญญานั้นไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย
-การถอนฟ้องเป็นนิติกรรมอย่างหนึ่ง เป็นการร้องทุกข์มิใช่นิติกรรม
-การรับฝากเงินผู้รับฝากต้องเป็นธนาคาร ตามกฎหมาย มิฉะนั้นตกเป็นโมฆะ แต่ทั้งสองฝ่ายต้องรู้ว่านิติกรรมนั้นเป็นโมฆะ ฝ่ายเดียวรู้ก้ไม่ทำให้นิติกรรมเป็นโมฆะ ผู้ฝากมิสิทธิเรียกเอาเงินคืน
-ดอกเบี้ย แยกส่วนที่สมบูรณ์ออก จากส่วนที่เป็นโมฆะได้
-คนต่างด้าวซื้อที่ดินให้จำเลยเป็นผู้รับโอนแทน นิติกรรมเป็นโมฆะ เฉพาะที่ดิน ส่วนสิ่งปลูกสร้างไม่เป็นโมฆะ
-คนต่างด้าวซื้อที่ดิน โดยขออนุญาต รมต. นิติกรรมไม่เป็นโมฆะ แต่ ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ถือว่าการชำระหนี้เป็นอันพ้นวิสัย
***หลักการวินิจฉัย ดูว่า โมฆะหรือไม่ให้ดูเจตนาแรกที่ตกลงทำนิติกรรม หากเจตนาแรกไม่ขัดต่อกฎหมายใด ๆ นิติกรรมมีผลสมบูรณ์ แต่จะปฎิบัติได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบส่วนต่าง ๆ ที่เข้ามาภายหลัง
-ตกลงยุติข้อพิพาท อาญาแผ่นดินเป็นโมฆะ ส่วนตัวบังคับได้
-ถอนฟ้อง ช่วยเบิกความไปในทางเป็นผลดีแก่รูปคดี อาญาแผ่นดินโมฆะ
-หากเพียงแต่ตกลงแถลงต่อศาล ว่าได้รับชำระค่าสินไหมทดแทน แล้ว หรือเยียวยาความเสียหายเบื้องต้นแล้ว ไม่เป็นโมฆะ
-ยุยงส่งเสริมให้เป็นความกัน ซื้อขายความกัน รับส่วนแบ่งจากทรัพย์สินของลูกความ เว้นแต่หากมีส่วนได้เสียอยู่แล้ว เพียงแต่ออกเงินทดรองให้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีไม่เป็นโมฆะ
-นิติกรรม ห้ามประกอบอาชีพบางอย่าง ต้องมีระยะเวลากำหนด หรืออาชีพกำหนดชัดเจน หากไม่กำหนดระยะเวลา อาชีพไม่ชัดเจน นิติกรรมเป็นโมฆะ
-ซื้อภริยา หากนำ ญ มาเป็นภริยา เป็นโมฆะ แต่หากเป็นภริยาแล้ว ตกลงเลิกกันให้ค่าตอบแทนการมาอยู่กินผลสมบูรณ์
-อุ้มบุญ นิติกรรมเป็นโมฆะ ขัดกับหน้าที่ของมารดา
-คนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ ต้องได้รับคำสั่งจากศาล หาก ยังไม่ได้รับ เป็นคนวิกลจริต
หนี้
ม.215 เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ ให้ถูกต้องตรงตามวัตถุประสงค์ เจ้าหนี้จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายก็ได้
ม.217 ลูกหนี้จะต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากความประมาทเลินเล่อในระหว่างเวลาที่ตนผิดนัด ทั้งจะต้องรับผิดชอบในการที่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะอุบัติเหตุอันเกิดขึ้นในระหว่างเวลาที่ตนผิดนัดด้วย เว้นแต่ความเสียหายนั้นถึงแม้ตนจะได้ชำระทันเวลากำหนดก็คงต้องเสียหายอยู่นั้นเอง
ม.218 ถ้าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย ซึ่งลูกหนี้ต้องรับผิดชอบแล้ว ลูกหนี้ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้
ว.2 ในกรณีการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพียงบางส่วน ถ้าหากส่วนที่ยังไม่พ้นวิสัยเป็นอันไร้ประโยชน์แก้เจ้าหนี้แล้ว เจ้าหนี้จะไม่ยอมรับส่วนนั้นก็ได้ และเรียกค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดที่เดียวก็ได้
ม.219 ถ้าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้ ซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบนั้น ลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้น
ว.2 ถ้าภ่ยหลังที่ได้ก่อหนี้ลูกหนี้กลายเป็นคนไม่สามารถชำระหนี้ได้ให้ถือเสมือนว่าการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย
ม.321 หนี้เงินอันจะต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่กัน จะคิดดอกเบี้ยในระหว่างเจ้าหนี้ผิดนัดไม่ได้
ม.341 บุคคล 2 คน ต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกันโดยมูลหนี้ อันมีวัตถุประสงค์เป็นอย่างเดียวกัน + หนี้ทั้ง 2 รายถึงกำหนดชำระฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะหักกลบลบหนี้เท่าจำนวนที่ตรงกันในมูลหนี้ทั้งสองฝ่ายนั้น เว้นแต่สภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่อง
ละเมิด
ม.420 ผู้ใดจงใจ/ประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายแก่ชีวิตร่างกายอนามัยทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิด จำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
ม.421 การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะทำให้แก่ความเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น เป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย
ม.425 นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิดซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้าง
ม.426 นายจ้างซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคบภายนอกเพื่อละเมิดอันลูกจ้างได้กระทำไปนั้น มีสิทธิไล่เบี้ยได้จากลูกจ้าง
ม.427 บทบัญญัติ มาตรา 425 , 426 ให้ใชบังคับแก่ตัวการและตัวแทนโดยอนุโลม
ม.428 ผู้ว่าจ้างทำของไม่ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกในระหว่างทำการงานที่จ้าง เว้นแต่ ผู้ว่าจ้างมีส่วนผิดในการงานที่สั่งให้ทำ / ในคำสั่งที่ตนให้ไว้ / ในการเลือกหาผู้รับจ้าง
ม.429 บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเป็นผู้เยาว์ / วิกลจริต ก็ยังคงต้องรับผิดในผลละเมิดที่ตนกระทำละเมิด บิดามารดา / ผู้อนุบาล/ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่พิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยยู่นั้น
ม.437 บุคคลใดครอบครอง/ควบคุมดูแลยานพาหนะอย่างใดๆ อันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล บุคคลนั้นจะต้องรับผิดชอบเพื่อความเสียหายอันเกิดจากยานพาหนะนั้น เว้นแต่พิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นเกิดขึ้นจากเหตุสุวิสัย/ความผิดของผู้เสียหาย
ม.448 สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด ท่านว่าขาดอายุความเมื่อพ้น 1 ปี นับแต่รู้ถึง+รู้ตัว / 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ทำละเมิด

ข้อ ๔ ซื้อขาย,เช่าทรัพย์,เช่าซื้อ
ม.456
การซื้อขายอสังหาฯถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือ+จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ รวมถึงซื้อขายเรือกำปั่น/เรือมีระวางตั้งแต่ 6 ตันขึ้นไป/เรือกลไฟ/เรือยนต์ที่มีระวางตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป / ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย
ว.2 อนึ่งสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินดังว่ามานี้ /คำมั่นในการซื้อขายทรัพย์เช่นว่านี้ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ /มิได้วางประจำ/ชำระหนี้บางส่วน ท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่
ว.3 ตามว.2 ให้ใช้บังคับถึงสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงซื้อขายกันมีราคา 2,000 บาท/กว่านั้นขึ้นไปด้วย
ม.491 ขายฝาก คือสัญญาซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืน
ม.492 กรณีที่มีการไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากภายในเวลาที่กำหนดในสัญญา / ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด / ผู้ไถ่ได้วางทรัพย์อันเป็นสินไถ่ต่อสำนักงานวางทรัพย์ภายในระยะเวลาการไถ่โดยสละสิทธิถอนทรัพย์ที่ได้วางไว้ ให้ทรัพย์สินซึ่งขายฝากตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ไถ่ตั้งแต่เวลาที่ผู้ไถ่ได้ชำระสินไถ่ / วางทรัพย์อันเป็นสินไถ่
ม.494 ห้ามมิให้ไถ่ทรัพย์สินที่ขายฝากเมื่อพ้นกำหนด (1)10 ปี สำหรับอสังฯ (2) 3 ปีสำหรับ สังหาฯ
ม.496 กำหนดเวลาไถ่อาจทำสัญญาขยายได้ แต่รวมกันแล้วถ้าเกินมาตรา 494 ให้ลดลงมาเป็นกำหนดตามม.494
ว.2 การขยายเวลาไถ่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้รับไถ่ ถ้าเป็นทรัพย์สินที่ต้องทำเป็นหนังสือ+จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ห้ามมิให้ยกการขยายเวลาไถ่เป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทน+สุจริต+จดทะเบียนแล้ว
เว้นแต่ จะได้ทำหนังสือ/หลักฐานเป็นหนังสือดังกล่าวไปจดทะเบียน/จดแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ม.499 สินไถ่ ถ้าไม่ได้กำหนดกันไว้เท่าใด ให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก
ว.2. ถ้าปรากฎในเวลาไถ่ว่าสินไถ่/ราคาที่ขายฝากที่กำหนดสูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ให้ไถ่ตามราคาขายฝากที่แทนจริง+ประโยชน์ตอบแทนร้อยละ 15 ต่อปี
ม.502 บุคคลผู้ไถ่ย่อมได้รับคืนไปโดยปลอดสิทธิใด ๆ ซึ่งผู้ซื้อเดิม/ทายาท/ผู้รับโอน ก่อให้เกิดขึ้นก่อนเวลาไถ่
ว.2 การเช่าทรัพย์ที่อยู่ในระหว่างการขายฝากอันได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว การเช่นนั้นหากมิได้ทำขึ้นเพื่อจะให้เสียหายแก่ผู้ขายฝาก กำหนดเวลาการเช่าเหลืออยู่เพียงใดก็คงให้สมบูรณ์ แต่มิให้เกินกว่า 1 ปี
เช่าทรัพย์
ม.537 เช่าทรัพย์ คือสัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้ให้เช่า ตกลงให้บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้เช่า ได้ใช้/ได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินอย่างใดชั่วระยะเวลาอันมีจำกัด +ผู้เช่าตกลงจะชำระค่าเช่า
ม.538 เช่าอสังฯถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่าเกินกว่า 3 ปี หรือตลอดอายุผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า หากมิได้ทำเป็นหนังือ+จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จะฟ้องร้องบังคับกันได้เพียง 3 ปี
ม.549 การส่งมอบทรัพย์สินที่เช่า/ความรับผิดของผู้ให้เช่าในกรณีชำรุดบกพร่อง+ รอนสิทธิ / ผลแห่งสัญญาว่าจะไม่ต้องรับผิดเหล่านี้ ให้นำซื้อขายมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ม.560 ถ้าผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้
ว.2 ถ้าค่าเช่าพึงส่งเป็นรายเดือนหรือกว่านั้น ผู้ให้เช่าต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าจะให้ชำระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งพึงกำหนดอย่างให้น้อยกว่า 15 วัน
ม.569 สัญญาเช่าอสังฯย่อมไม่ระงับไปเพราะเหตุแห่งการโอนกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า
ว.2 ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิ+หน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย
ม.570 เมื่อสิ้นสัญญาเช่า ถ้าผู้เช่ายังครองทรัพย์อยู่+ผู้ให้เช่ารู้แล้วไม่ทักท้วง ถือว่าคู่สัญญาได้ทำสัญญาใหม่ต่อไปไม่มีกำหนดระยะเวลา
เช่าซื้อ
ม.572 เช่าซื้อ คือสัญญา ซึ่งเจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่า + ให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้น/จะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิของผู้เช่า โดยมีเงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินจำนวนหนึ่ง
ว.2 สัญญาเช่าซื้อ ถ้าไม่ได้ทำเป็นหนังสือ เป็นโมฆะ
ม.573 ผู้เช่าซื้อจะบอกเลิกสัญญาในเวลาหนึ่งเวลาใดก็ได้ ด้วยการส่งมอบทรัพย์สินคืนแก่เจ้าของ
ม.574 ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงิน2 คราวติด ๆ กัน/กระทำผิดสัญญาในข้อสำคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก้ได้
บรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้ว ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สิน +เจ้าของมีสิทธิกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้น
ว.2 ในกรณีกระทำผิดสัญญาเพราะผิดนัดไม่ใช้เงินในคราวสุดนั้น เจ้าของทรัพย์สิน ชอบที่จะริบบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแต่ก่อน + กลับเข้าครองทรัพย์สินได้ ต่อเมื่อระยะเวลาใช้เงินได้พ้นกำหนดไปอีกหนึ่งงวด

ข้อ ๕. ยืม ค้ำประกัน จำนอง จำนำ
ม.643 ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่น นอกจากการอันเป็นปกติ / นอกจากการอันปรากฎในสัญญา /เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย/เอาไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหาย/บุบสลาย แม้จะเป็นเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าอย่างไรทรัพย์สินนั้นก็คงต้องสูญหาย/บุบสลายอยู่นั้นเอง
ม.653 การกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาทขึ้นไป ถ้ามิได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีกันหาได้ไม่
ค้ำประกัน
ม.680 ค้ำประกัน คือ สัญญาซึ่งบุคคลภายนอก (ผู้ค้ำประกัน) ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น
ว. 2 สัญญาค้ำประกัน ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกัน จะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่
ม. 681 ค้ำประกันมีได้เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์
ม. 682 บุคคลจะยอมเข้าเป็นผู้รับเรือน คือ เป็นประกันของผู้ค้ำประกันอีกชั้นหนึ่งก็ได้
ว. 2 บุคคลหลายคนเข้าค้ำประกันในหนี้รายเดียวกัน ต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม
ม. 686 ลูกหนี้ผิดนัดเมื่อใดเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระได้เมื่อนั้น
ม. 691 ถ้าผู้ค้ำประกันต้องรับผิดร่วมกันกับลูกหนี้ ผู้ค้ำประกันย่อมไม่มีสิทธิ ตามมาตรา 688 (เกี่ยง) , 689 (พิสูจน์ว่าลูกหนี้มีเงิน) และ มาตรา 690 (ให้เจ้าหนี้บังคับจากทรัพย์ลูกหนี้ที่ยึดไว้ก่อน)
ม. 692 อายุความสะดุดหยุดลงเป็นโทษแก่ลูกหนี้ ย่อมเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันด้วย
ม. 697 ถ้าการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดของเจ้าหนี้ เป็นเหตุให้ผู้ค้ำประกัน ไม่อาจเข้ารับช่วงสิทธิจำนอง จำนำ บุริมสิทธิ อันได้ให้ไว้แก่เจ้าหนี้ก่อน / ขระทำสัญญา ผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดเท่าที่ตนต้องเสียหาย
ม. 699 การค้ำประกันเพื่อกิจการเนื่องกันหลายคราวไม่มีจำกัดเวลา ผู้ค้ำประกันอาจเลิกเสียคราวอนาคตก็ได้ โดยบอกกล่าวแก่เจ้าหนี้
ม. 700 ถ้าค้ำประกันอันต้องชำระ ณ เวลามีกำหนดแน่นอน + เจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้ลูกหนี้ ผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิด เว้นแต่ผู้ค้ำประกันจะได้ตกลงในการผ่อนเวลาด้วย
ม. 701 ถ้าผู้ค้ำประกันขอชำระหนี้แก่เจ้าหนี้เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ ถ้าเจ้าหนี้ไม่ยอมรับชำระหนี้ ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจำนอง
ม. 702 จำนอง คือ สัญญาซึ่งผู้จำนอง เอาทรัพย์สินตราไว้แก่ผู้รับจำนอง เป็นประกันการชำระหนี้ โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้น
ว. 2 ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้ จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ
ม. 707 ให้นำมาตรา 681 (หนี้สมบูรณ์) มาบังคับใช้ในการจำนองโดยอนุโลม
ม. 711 จะตกลงกันก่อนถึงเวลาชำระหนี้ว่า ถ้าไม่ชำระหนี้ให้ผู้รับจำนองเข้าเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่จำนองไม่ได้ ข้อตกลงไม่สมบูรณ์
ม. 714 สัญญาจำนองต้องทำเป็นหนังสือ + จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ม. 725 เมื่อบุคคล 2 คน / กว่านั้น ได้จำนองประกันหนี้รายเดียวกันโดยมิได้ระบุลำดับ ผู้จำนองซึ่งได้ชำระหนี้จะไล่เบี้ยคนอื่นไม่ได้
ม. 726 บุคคลหลายคนได้จำนองประกันหนี้รายเดียวกัน + ได้ระบุลำดับไว้ การที่ผู้รับจำนองยอมปลดหนี้ให้แก่ผู้จำนองคนหนึ่ง ย่อมทำให้ผู้จำนองคนหลังๆ ได้หลุดพ้นเพียงขนาดที่เขาต้องได้รับความเสียหาย
ม. 727 ถ้าบุคคลคนเดียวจำนองประกันหนี้อันบุคคลอื่นต้องชำระ ให้ใช้มาตรา 697 , 700 , 701 มาบังคับโดยอนุโลม
ม. 728 เมื่อจะบังคับจำนองผู้รับจำนองจะต้องมีหนังสือบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควรก่อน ถ้าลูกหนี้ละลเยเสีย ผู้รับจำนองจะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้ยึดและขายทอดตลาดก็ได้
ม. 733 ถ้าเอาทรัพย์จำนองหลุด + ราคาต่ำกว่าจำนวนหนี้ที่ค้าง / ถ้าเอาขายทอดตลาดได้เงินน้อยกว่าที่ค้างชำระกันอยู่ ส่วนที่ขาดลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบ
ม. 734 ถ้าจำนองหลายสิ่งประกันหนี้รายเดียวมิได้ระบุลำดับ ผู้รับจำนองจะใช้สิทธิบังคับทั้งหมด / บางส่วนก็ได้ แต่ไม่เกินหนี้
ม. 744 จำนองย่อมระงับ เมื่อ (1) หนี้ที่ประกันระงับ มิใช่โดยอายุความ (2) ปลดจำนองเป็นหนังสือ (3) ผู้จำนองหลุดพ้น (4) ถอนจำนอง (5) ขายทอดตลาดเพราะบังคับจำนอง (6) เอาทรัพย์ที่จำนองนั้นหลุด
จำนำ
ม. 747
จำนำ คือ สัญญาซึ่งผู้จำนำ ส่งมอบทรัพย์สินสิ่งหนึ่ง ให้แก่ผู้รับจำนำ เพื่อเป็นการประกันการชำระหนี้
ม. 750 ถ้าทรัพย์สินที่จำนำเป็นสิทธิซึ่งมีตราสาร + มิได้ส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับจำนำ ทั้งมิได้บอกกล่าวเป็นหนังสือแจ้งจำนำ แก่ลูกหนี้แห่งสิทธินั้นด้วย การจำนำย่อมเป็นโมฆะ
ม. 756 การที่ตกลงกันไว้ก่อนหนี้ถึงกำหนดชำระว่า ถ้าไม่ชำระหนี้ให้ผู้รับจำนำเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่จำนำ / ให้จัดการแก่ทรัพย์สินนั้นเป็นประการอื่น ข้อตกลงนั้นไม่สมบูรณ์
ม. 767 เมื่อบังคับจำนำได้เงินสุทธิเท่าใด ผู้รับจำนำต้องจัดสรรชำระหนี้ มีเงินเหลือต้องส่งคืน แต่ถ้าขาดลูกหนี้ก็ยังคงต้องชำระ
ม. 769 จำนำย่อมระงับ เมื่อ (1) หนี้ซึ่งจำนำเป็นประกันระงับ มิใช่โดยอายุความ (2) ผู้รับจำนำยอมให้ทรัพย์สินที่จำนำกลับคืน ไปสู่การครอบครองของผู้จำนำ

ข้อ ๖. ตัวแทน , ประกันภัย , ตั๋วเงิน , บัญชีเดินสะพัด
ตัวแทน
ม. 797
ตัวแทน คือ สัญญาซึ่งให้ตัวแทนมีอำนาจทำการแทนตัวการ + ตกลงทำการนั้น
ม. 801 ตัวแทนได้รับมอบอำนาจทั่วไปทำได้ทุกอย่าง ยกเว้น (1) ขาย / จำนองอสังหาฯ (2) ให้เช่าอสังหาฯ กว่า 3 ปี (3) ให้ (4) ยอมความ (5) ยื่นฟ้อง (6) อนุญาโตตุลาการ
ม. 805 ตัวแทนเมื่อไม่ได้รับความยินยอมของตัวการจะเข้าทำนิติกรรมใดๆ ในนามของตัวการกับตนเอง / ตัวแทนบุคคลภายนอกหาได้ไม่ เว้นแต่การชำระหนี้
ม. 820 ตัวการย่อมผูกพันต่อบุคคลภายนอก ในกิจการทั้งหลายอันตัวแทน / ตัวแทนช่วง ได้ทำไปในขอบอำนาจ
ม. 821 บุคคลใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัแทนของตน รู้แล้วยอมให้อีกคนหนึ่งเชิดตัวเขาเป้นตัวแทน บุคคลผู้นั้นต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริต
ประกันภัย
ม. 865 ถ้าในเวลาทำสัญญา ผู้เอาประกัน รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจูงใจผู้รับประกัน ให้เรียกเบี้ยประกันสูงขึ้นอีก / ให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา / รู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นเท็จ สัญญานั้นเป็นโมฆียะ
ว. 2 ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในหนึ่งเดือน นับแต่วันทราบมูลอันจะบอกล้าง / มิได้ใช้สิทธินั้นภายใน 5 ปี นับแต่วันทำสัญญา สิทธินั้นเป็นอันระงับ
ม. 879 ผู้รับประกันไม่ต้องรับผิด เมื่อความวินาศภัย / เหตุอื่นซึ่งได้ระบุในสัญญานั้นได้เกิดขึ้นเพราะ ความทุจริต / ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกัน / ผู้รับประโยชน์
ม. 880 ถ้าความวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้นเพราะการกาะทำของบุคคลภายนอก ผู้รับประกันได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้ว ย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันและผู้รับประโยชนื
ว. 2 ถ้าได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปแต่บางส่วน ห้ามมิให้ใช้สิทธิให้เสื่อมเสียสิทธิของผู้เอาประกัน ในการจะเรียกที่เหลือ
ม. 887 ประกันภัยค้ำจุน คือ สัญญาประกันภัยซึ่งผู้รับประกันตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกัน เพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใด ซึ่งผู้เอาประกันจะต้องรับผิดชอบ
ว. 2 ผู้ต้องเสียหายชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนจากผู้รับประกันโดยตรง แต่ถ้าเกินกว่าที่เอาประกัน ให้เรียกจากตัวผู้เอาประกัน โดยเรียกเข้ามาในคดี
ว. 3 ผู้รับประกันแม้จะได้ส่งค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันแล้ว ก้ไม่หลุดพ้นจากความรับผิด เว้นแต่พิสูจน์ได้ว่า ผู้เอาประกันนำไปชำระแก่ผู้เสียหายแล้ว
ม. 895 เมื่อใดจะต้องใช้เงินในเหตุมรณะของบุคคลหนึ่งบุคคลใด ผู้รับประกันจะต้องใช้เงินนั้นเมื่อความตายนั้นเกิดขึ้น เว้นแต่ (1) บุคคลนั้นฆ่าตัวตายภายใน 1 ปี นับแต่วันทำสัญญา (2) บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา แต่ทั้งนี้ผู้รับประกันจะต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ ให้แก่ผู้เอาประกัน / ทายาท
ม. 896 ถ้าความตายเกิดขึ้นเพราะความผิดของบุคคลภายนอก ผู้รับประกันก็ไม่สามารถจะเยกเอาค่าสินไหมทดแทนจากบุคคลภายนอกนั้นได้ แต่ทั้งนี้ไม่ห้ามทายาทที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบุคคลภายนอก
ม. 897 ถ้าผู้เอาประกันระบุให้ใช้เงินแก่ทายาทโดยมิได้ระบุชื่อ เงินที่ได้รับนั้นเข้ากองมรดก แต่ถ้าระบุชื่อเฉพาะเบี้ยประกันที่เข้า


๗. ตั๋วเงิน
ม. 898 ตั๋วเงิน คือ ตั๋วแลกเงิน , ตั๋วสัญญาใช้เงิน , เช็ค
ม. 899 ข้อความใดที่มิได้บัญญัติไว้ ถ้าเขียนลงในตั๋วเงิน หามีผลเป็นอย่างใดไม่
ม. 900 ผู้ลงลายมือชื่อในตั๋วเงินย่อมต้องรับผิดตามเนื้อความ
ม. 904 ผู้ทรง คือ ผู้มีตั๋วไว้ในครอบครองฐานเป็นผู้รับเงิน / ผู้รับสลักหลัง , ตั๋วผู้ถือ ผู้ถือเป็นผู้ทรง
ม. 905 ผู้ครอบครองตั๋ว แสดงให้ปรากฏว่าสิทธิมาจากการสลักหลังไม่ขาดสาย แม้สุดท้ายจะสลักหลังลอย ถือว่าเป็นผู้ทรง
ว. 2 บุคคลใดต้องปราศจากตั๋วไปจากครอบครอง ผู้ทรงซึ่งแสดงให้ปรากฏสิทธิของตนในตั๋ว หาจำต้องสละตั๋วไม่ เว้นแต่จะได้มาโดยทุจริต / ได้มาด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ให้ใช้บังคับกับผู้ทรงตั๋วผู้ถือด้วย
ม. 914 ผู้สั่งจ่าย / ผุ้สลักหลังตั๋วแลกเงินย่อมเป็นสัญญาว่าเมื่อตั๋วนั้นได้นำไปยื่น โดยชอบแล้วจะมีผู้รับรอง + ใช้เงินตามตั๋ว ถ้าตั๋วนั้นเขาไม่เชื่อถือ / ไม่รับรอง / ไม่ใช้เงิน ผู้สั่งจ่าย / ผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง หากได้ทำถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรอง
ม. 916 ผู้ถูกฟ้องในมูลตั๋วแลกเงิน จะต่อสู้ต่อผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันเฉพาะบุคคลระหว่างตนกับผู้สั่งจ่าย / ผู้สลักหลัง คนก่อนๆ ไม่ได้ เว้นแต่ การโอนจะได้มีขึ้นด้วยคบคิดฉ้อฉล
ม. 917 ตั๋วแลกเงิน โอนให้กันได้โดยสลักหลัง / ส่งมอบ
ว. 2 ผู้สั่งจ่ายเขียนในด้านหน้าตั๋วว่า เปลี่ยนมือไม่ได้ (ห้ามโอน) จะโอนกันได้ก็ต่อเมื่อโอนอย่างสามัญ (ทำเป็นหนังสือ)
ม. 919 การสลักหลังต้องเขียนลงในตั๋วแลกเงิน / ใบประจำต่อ + ลงลายมือชื่อผู้สลักหลัง
ว. 2 การสลักหลังโดยไม่ลงชื่อผู้รับประโยชน์ก็สมบูรณ์ ซึ่งเป็นการสลักหลังลอย
(3) โอนตั๋วเงินให้บุคคลภายนอกโดยไม่กรอกข้อความ + ไม่สลักหลัง
ม. 921 การสลักหลังตั๋วแลกเงินผู้ถือ เป็นการประกัน (อาวัล) ผู้สั่งจ่าย
ม.939 การรับอาวัล ทำได้โดยการเขียนลงในตั๋วเงินนั้น / ใบประจำต่อ ใช้คำว่า ได้ใช้เป้นอาวัล + ลงลายมือชื่อผู้รับอาวัล
ว. 3 การลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัล ในด้าหน้าตั๋วเงิน ก้เป็นการรับอาวัลแล้ว เว้นแต่เป็นลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย / ผู้จ่าย
ว. 4 การรับอาวัลต้องระบุว่ารับประกันผู้ใด หากไม่ระบุเป็นการรับประกันผู้สั่งจ่าย
ม. 940 ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกับบุคคลซึ่งตนประกัน แม้ความรับผิดจะใช้ไม่ได้เพราะผิดระเบียบ การอาวัลก็ยังสมบูรณ์
ม. 959 ผู้ทรงตั๋วแลกเงิน จะใช้สิทธิไล่เบี้ยผู้สลักหลัง + ผู้สั่งจ่าย + บุคคลอื่นๆ ซึ่งต้องรับผิดตามตั๋วเงินนั้นก็ได้ คือ (ก) ได้เมื่อตั๋วถึงกำหนด กรณีไม่ใช้เงิน (ข) ได้เมื่อตั๋วยังไม่ถึงกำหนดหาก 1) เขาบอกปัดไม่รับรอง 2) ผู้จ่ายล้มละลาย 3) ผู้สั่งจ่ายล้มละลาย
ม. 967 ในเรื่องตั๋วแลกเงินนั้น บรรดาผู้สั่งจ่าย / ผู้รับรอง / ผู้สลักหลัง / ผู้ประกัน (อาวัล) ย่อมต้องรับผิดร่วมกันต่อผู้ทรง
ม. 971 ผู้สั่งจ่าย / ผู้รับรอง / ผู้สลักหลังคนก่อน ซึ่งเขาสลักหลัง / โอนตั๋วแลกเงินให้อีกทอดหนึ่ง ไม่มีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่คู่สัญญา ฝ่ายหนึ่งซึ่งตนย่อมต้องรับผิดต่อเขาอยู่ก่อนแล้วตามตั๋วเงินนั้น
ม. 989 บทบัญญัติเรื่องตั๋วแลกเงิน ให้นำมาบังคับใช้ในเรื่องเช็ค คือ ม.910 , 914 – 923 , 925 , 926 , 938 – 940 , 945 , 946 , 959 , 967
ม. 991 ธนาคารจำต้องใช้เงินตามเช็ค เว้นแต่ (1) ไม่มีเงินในบัญชีพอ (2) เช็คนั้นยื่นเมื่อพ้น 6 เดือน นับแต่ออกเช็ค (3) มีคำบอกกล่าว
ม. 1002 คดีที่ผู้ทรงฟ้องผู้สลักหลัง + ผู้สั่งจ่าย ห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้น 1 ปี นับแต่วันที่ได้ลงในคำคัดค้านซึ่งทำขึ้นในกำหนด
ม. 1007 ถ้าข้อความในตั๋วเงิน / ในคำรับรอง มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญโดยคู่สัญญาทั้งปวงมิได้ยิยยอมด้วยทุกคน ตั๋วเงินนั้นเป็นอันเสียไป เว้นแต่ใช้ได้ต่อผู้ทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลง / ได้ยินยอม + ผู้สลักหลังในภายหลัง
ว. 2 หากการแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ประจักษ์ + ตั๋วเงินตกอยู่ในมือผู้ทรงโดยชอบ ผู้ทรงจะเอาประโยชน์จากตั๋วเงินนั้นก็ได้ เสมือนหนึ่งว่าไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเลย + จะบังคับการใช้เงินตามเนื้อความเดิมแห่งตั๋วก็ได้
ว. 3 การแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อสำคัญ คือ วันที่ลง / จำนวนเงิน / เวลาใช้เงิน / สถานที่ใช้เงิน / รวมถึงเติมสถานที่ใช้เงิน
ม. 1008 เมื่อใดเป็นลายมือชื่อปลอม / มิได้มอบอำนาจ ผู้ใดจะอ้างเพื่อแสวงสิทธิยึดหน่วง / ทำให้หลุดพ้น / บังคับการใช้เงินเอาแก่คู่สัญญาแห่งตั๋วนั้นไม่อาจทำได้ เว้นแต่ เป็นผู้ซึ่งถูกตัดบทมิให้ยกลายมือชื่อปลอม / ปราศจากอำนาจ ขึ้นต่อสู้
ม. 1009 ถ้ามีผู้นำตั๋วเงินชนิดผู้ถือ มาเบิกต่อธนาคาร + ธนาคารได้ใช้เงินไปตามทางค้าปกติโดยสุจริต + ปราศจากความประมาท ถือว่าธนาคารได้ใช้เงินไปถูกระเบียบ

หุ้นส่วน/บริษัท
ม. 1012
สัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วน / บริษัท คือ สัญญาซึ่งบุคคลตั้งแต่ 2 คน ตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไร อันจะพึ่งได้แต่กิจการที่ทำนั้น
ม. 1015 ห้างหุ้นส่วน / บริษัท เมื่อได้จดทะเบียน ย่อมเป็นนิติบุคคล
ม. 1025 ห้างหุ้นส่วนสามัญ คือ ห้างหุ้นส่วนประเภทซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้องรับผิดร่วมกันเพื่อหนี้ทั้งปวง โดยไม่มีจำกัด
ม. 1050 การใดๆ ที่ผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดทำไปในทางธรรมดาค้าขาย ย่อมผูกพันหุ้นส่วนทุกคนที่ต้องรับผิดร่วมกัน โดยไม่จำกัด
ม. 1053 ห้างหุ้นส่วนซึ่งยังไม่จดทะเบียน แม้จะมีข้อจำกัดอำนาจของหุ้นส่วนคนใดในการผูกพันหุ้นส่วนคนอื่น ข้อจำกัดนั้นไม่มีผลถึงบุคคลภายนอก
ม. 1054 การเลิกกันของห้างหุ้นส่วนสามัญ (1) สัญญากำหนดกรณีที่จะเลิก (2) สัญญากำหนดเวลาและสิ้นกำหนด (3) สัญญาทำไว้เพื่อกิจการใดเฉพาะอย่างเดียว แล้วกิจการนั้นเสร็จ (4) หุ้นส่วนคนหนึ่งคนใดบอกกล่าว จะเลิกล่วงหน้า 6 เดือน (5) หุ้นส่วนคนใดตาย / ล้มละลาย / ไร้ความสามารถ
ม. 1061 เมื่อห้างเลิกกันแล้วให้จัดการชำระบัญชี
ม . 1062 การชำระบัญชีให้ทำโดยลำดับดังนี้ (1) ชำระหนี้ที่ค้างให้บุคลภายนอก (2) ชดใช้เงินทดรองที่หุ้นส่วนได้จ่ายไป (3) ให้คืนทุนทรัพย์ที่แต่ละคนได้ลงหุ้น ถ้าเหลือแบ่งเป็นกำไร
ม . 1068 ความรับผิดของผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน เกี่ยวกับหนี้ที่ได้ก่อขึ้นก่อนตนออกจากหุ้นส่วน จำกัดเพียง 2 ปี
ม. 1070 ห้างหุ้นส่วนซึ่งจดทะเบียนผิดนัดชำระหนี้ เจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกเอาจากหุ้นส่วนคนหนึ่งคนใดก็ได้ เว้นแต่หุ้นส่วนพิสูจน์ได้ว่า (1) สินทรัพย์ของห้างยังพอมี (2) การจะบังคับเอาจากห้างไม่เป็นการยาก ตาม ม. 1071
ม. 1072 ถ้าห้างหุ้นส่วนซึ่งจดทะเบียนยังมิได้เลิกกันตราบใด เจ้าหนี้ย่อมใช้สิทธิได้แต่เพียงกำไร / เงินที่ห้างค้างชำระแก่ผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นเท่านั้น ถ้าห้างหุ้นส่วนนั้นเลิกกันแล้ว เจ้าหนี้ย่อมใช้สิทธิได้ตลอดจนถึงหุ้นของหุ้นส่วนคนนั้น
ม. 1077 อันห้างหุ้นส่วนจำกัด คือ ห้างหุ้นส่วนซึ่งมีหุ้นส่วน 2 จำพวก กล่าวคือ (1) จำพวกจำกัดความรับผิด (2) จำพวกไม่จำกัด
ม . 1079 ห้างหุ้นส่วนจำกัด ถ้ายังไม่จดทะเบียน ถือว่าเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ ซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้องรับผิดร่วมกันไม่จำกัด
ม. 1081 ห้ามมิให้เอาชื่อหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดระคนเป็นชื่อห้าง
ม. 1082 หุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดให้ใช้ตนระคนเป็นชื่อห้าง จะต้องรับผิดเสมือนเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดจำนวน
ม. 1087 ห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น ผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดเท่านั้นเป็นผู้จัดการ
ม. 1088 ถ้าหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดสอดเข้าไปจัดการงานของห้าง ต้องรับผิดร่วมกันในหนี้ทั้งหลาย โดยไม่จำกัดจำนวน
ม. 1090 พวกจำกัดความรับผิดจะประกอบการค้าใดๆ ก็ได้ แม้มีสภาพอย่างเดียวกันกับการค้าขายของห้างหุ้นส่วน
ม. 1096 บริษัทจำกัด คือ บริษัทซึ่งตั้งขึ้นด้วยการแบ่งทุนเป็นหุ้นมีมูลค่าเท่าๆ กัน โดยมีผู้ถือหุ้นต่างรับผิดจำกัดเท่าหุ้น
ม. 1105 อันหุ้นนั้น ห้ามิให้ออกโดยราคาต่ำไปกว่ามูลค่าของหุ้นที่ตั้ง
ม. 1112 ถ้ามิได้จดทะเบียนภายใน 3 เดือนนับแต่ประชุมตั้งบริษัท บริษัทเป็นอันไม่ได้ตั้ง
ม. 1113 ผู้เริ่มก่อการบริษัทต้องรับผิดร่วมกัน + ไม่จำกัดในบรรดาหนี้ จนกว่าจะได้จดทะเบียนบริษัท
ม. 1119 หุ้นทุกหุ้นจำต้องใช้เป็นเงินสดจนเต็มค่า
ม. 1129 หุ้นนั้นย่อมโอนกันได้โดยมิต้องได้รับความยินยอมจากบริษัท เว้นแต่เป็นหุ้นระบุชื่อ
ม. 1133 หุ้นซึ่งโอนกัน ถ้าเป็นหุ้นที่ยังส่งเงินไม่ครบ ผู้โอนยังคงต้องรับผิด เว้นแต่ หนี้ซึ่งบริษัทได้ก่อขึ้นภายหลัง
ม. 1143 ห้ามิให้บริษัทจำกัดเป็นเจ้าของถือหุ้นของตนเอง / รับจำนำหุ้นของตนเอง
ม. 1144 บริษัทจำกัด ให้มีกรรมการคนหนึ่ง / หลายคน เป็นผู้จัดการตามข้อบังคับ + อยู่ในความครอบงำของที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น
ม. 1151 ผู้เป็นกรรมการอาจจะตั้ง / ถอนได้ก็แต่โดยที่ประชุมใหญ่เท่านั้น
ม. 1166 บรรดาการซึ่งกรรมการได้ทำไป แม้ภายหลังปรากฏว่าการแต่งตั้งมีข้อบกพร่อง การที่ได้ทำนั้นก็สมบูรณ์
ม. 1167 ความเกี่ยวพันระหว่างกรรมการ + บุคคลภายนอกนั้นให้บังคับว่าด้วยตัวแทน
ม. 1169 ถ้ากรรมการทำให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท บริษัท / ผู้ถือหุ้น จะฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนก็ได้
ม. 1170 เมื่อการซึ่กรรมการทำไปโดยได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่แล้ว กรรมการนั้นไม่ต้องรับผิด
ม. 1173 การประชุมวิสามัญ ต้องมีผู้ถือหุ้นมีจำนวนหุ้นไม่น้อยกว่า 1 / 5 แห่งจำนวนหุ้นทั้งหมด ได้เข้าชื่อร้องขอให้ประชุม
ม. 1184 ผู้ถือหุ้นคนใดยังมิได้ชำระค่าหุ้น ไม่มีสิทธิออกเสียงเป็นคะแนน
ม. 1185 ผู้ถือหุ้นคนใดมีส่วนได้เสีย ห้ามมิให้ออกเสียง
ม. 1195 การเรียกประชุม / การลงมติโดยฝ่าฝืนกฎหมาย , ข้อบังคับบริษัท กรรมการ / ผู้ถือหุ้นร้องขอให้ศาลเพิกถอนได้ ภายใน 1 เดือน

ข้อ ๘. ครอบครัว – มรดก
ครอบครัว ( ม.1435 – 1598/41 )
ม. 1437 การหมั้นจะสมบูรณ์ เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้น ให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสด้วย
ม. 1452 ชาย / หญิง จะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสไม่ได้
ม. 1466 สัญญาก่อนสมรสเป็นโมฆะ ถ้ามิได้จดแจ้งข้อตกลงกันเป็นสัญญาก่อนสมรสนั้น ไว้ในทะเบียนสมรสพร้อมกับการจดทะเบียนสมรส / มิได้ทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อคู่สมรส + พยานอย่างน้อย 2 คน แนบไว้ท้ายทะเบียนสมรส และได้จดไว้ในทะเบียนสมรสพร้อมกับการจดทะเบียนสมรสว่าได้มีสัญญานั้นแนบไว้
ม. 1470 ทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา นอกจากที่เป็นสินส่วนตัว ย่อมเป็นสินสมรส
ม. 1471 สินส่วนตัว ได้แก่ ทรัพย์สินที่ (1) ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีอยู่ก่อนสมรส (2) เป็นเครื่องใช้ส่วนตัว / เครื่องแต่งกาย / เครื่องประดับ / เครื่องมือเครื่องใช้จำเป็นในการประกอบอาชีพ (3) ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดก / การให้โดยเสน่หา (4) เป็นของหมั้น
ม. 1474 สินสมรส ได้แก่ ทรัพย์สินที่ (1) คู่สมรสได้มาระหว่างการสมรส (2) ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้มาระหว่างสมรสโดยพินัยกรรม / โดยการให้เป็นหนังสือ ระบุว่า เป็นสินสมรส (3) เป็นดอกผลของสินส่วนตัว หากกรณีสงสัยให้ถือว่าเป็นสินสมรส
ม. 1476 สามีและภริยา ต้องจัดการสินสมรสร่วมกัน / ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่าย กรณี (1) ขาย จำนอง ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ (2) ก่อตั้ง / กระทำให้สิ้นสุด ซึ่งทรัพยสิทธิ (3) ให้เช่าอสังหา ฯ เกิน 3 ปี (4) ให้กู้ยืมเงิน (5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่ เพื่อการกุศล , การสังคม , ตามหน้าที่ธรรมจรรยา (6) ยอมความ (7) อนุญาโตตุลาการ (8) นำทรัพย์สินไปประกัน
ม. 1498 การสมรสที่เป็นโมฆะ ไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา
ว. 2 กรณีสมรสเป็นโมฆะ ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดมี / ได้มา ไม่ว่าก่อน / หลังการสมรส รวมทั้งดอกผลคงเป็นของฝ่ายนั้น ส่วนบรรดาทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันให้แบ่งคนละครึ่ง เว้นแต่ศาลจะเห็นเป็นประการอื่น
ม. 1499 การสมรสที่เป็นโมฆะ เพราะเป็นคนไร้ความสามารถ / สืบสายโลหิต / ไม่ยินยอม ไม่ทำให้ชาย / หญิงผู้สมรสโดยสุจริตเสื่อมสิทธิท่ได้มา เพราะการสมรสก่อนมี คำพิพากษาถึงที่สุดให้เป็นโมฆะ
ม. 1501 การสมรสสิ้นสุดลงด้วยความตาย / การหย่า / ศาลพิพากษาให้ถอน
ม. 1504 การสมรสที่เป็นโมฆียะเพราะอายุไม่ถึง 17 ปี ผู้มีส่วนได้เสียขอเพิกถอนได้เว้นแต่บิดามารดาที่ให้ความยินยอม
ว. 2 ถ้าศาลยังมิได้สั่งให้เพิกถอน จนชายหญิงมีอายุครบ / หญิงมีครรภ์ก่อนอายุครบ ให้ถือว่าสมบูรณ์ตั้งแต่สมรส
ม. 1516 เหตุฟ้องหย่า (1) – (10)
ม. 1531 การสมรสที่จดทะเบียน การหย่าโดยความยินยอมมีผลนับแต่จดทะเบียนหย่า , การหย่าโดยคำพิพากษามีผลเมื่อพิพากษา
ม. 1546 เด็กที่เกิดจากหญิง ที่มิได้สมรสกับชาย ให้ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น
ม. 1547 เด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน จะเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายต่อเมื่อบิดามารดาได้สมรสกันภายหลัง / บิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตร / ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร
ม. 1557 การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายตาม ม. 1547 มีผลนับแต่ (1) วันสมรส กรณีบิดามารดาสมรสกันภายหลัง (2) วันจดทะเบียน กรณีบิดาจดทะเบียนเด็กเป็นบุตร (3) วันมีคำพิพากษาถึงที่สุด
ม. 1558 การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรของผู้ตาย ที่ได้ฟ้องภายในกำหนดอายุความมรดก ถ้าศาลพิพากษาว่าเด็กเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ในฐานะทายาทโดยธรรม
มรดก ( ม. 1599 – 1755 )
ม. 1599 บุคคลใดตาย มรดกย่อมตกทอดแก่ทายาท
ม. 1600 กองมรดก ได้แก่ ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิหน้าที่ และความรับผิดต่างๆ เว้นแต่เป็นการเฉพาะตัว
ม. 1605 ทายาทคนใดยักย้าย / ปิดบังทรัพย์มรดกเท่าส่วนที่ตนจะได้ / มากกว่า โดยฉ้อฉล ต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกเลย แต่ถ้าน้อยกว่าส่วนที่ตนจะได้ ต้องถูกกำจัดเฉพาะส่วนที่ได้ยักย้าย / ปิดบัง
ว. 2 มิให้ใช้บังคับแก่ผู้รับพินัยกรรม
ม. 1606 บุคคลต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกฐานเป็นผู้ไม่สมควร คือ
(1) ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเจตนา / พยายามกระทำให้เจ้ามรดก / ผู้มีสิทธิได้มรดกก่อนตน ตายโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
(2) ฟ้องเจ้ามรดกหาว่ากระทำความผิดโทษประหารชีวิต และตนกลับต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่าฟ้องเท็จ / ทำพยายานเท็จ
(3) รู้ว่าเจ้ามรดกถูกฆ่าโดยเจตนา แต่มิได้ร้องเรียนเพื่อเอาผู้กระทำผิดมาลงโทษ เว้นแต่อายุยังไม่ครบ 16 ปี , เป็นญาติ
(5) ปลอม / ทำลาย / ปิดบังพินัยกรรม
ว. 2 เจ้ามรดกอาจถอนข้อกำจัดฐานเป็นผู้ไม่สมควรก็ได้ โดยให้อภัยไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
ม. 1607 การถูกกำจัดมิให้รับมรดกเป็นการเฉพาะตัว ผู้สืบสันดานของทายาทที่ถูกกำจัด สืบมรดกต่อได้
ม. 1608 เจ้ามรดกจะตัดทายาทโดยธรรมของตนมิให้ได้รับมรดกก็ได้ ด้วยการแสดงเจตนาอย่างชัดแจ้ง
(1) โดยพินัยกรรม
(2) โดยทำเป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่
ม. 1612 การสละมรดกต้องแสดงเจตนาชัดแจ้งเป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ / ทำเป็นสัญญาประนีประนอม
ม. 1615 การที่ทายาทสละมรดกมีผลย้อนหลังไปถึงเวลาที่เจ้ามรดกตาย
ว. 2 ทายาทโดยธรรมคนใดสละมรดก ผู้สืบสันดานของทายาทคนนั้น สืบมรดกได้ตามสิทธิของตน
ม. 1625 ถ้าผู้ตายเป็นผู้สมรสแล้ว การคิดส่วนแบ่งและการปันทรัพย์สินระหว่างผู้ตายกับคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้เป็นดังนี้
(1) ส่วนแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา ให้เป็นไปตามบทบัญญัติเรื่องการหย่าโดยความยินยอม
(2) ส่วนแบ่งในทรัพย์มรดกให้เป็นไปตาม ม. 1637 , 1638
ม. 1627 บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว / บุตรบุญธรรม ให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดาน เหมือนบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย
ม. 1629 ทายาทโดยธรรมมี 6 ลำดับ เท่านั้น แต่ละลำดับมีสิทธิได้รับมรดกก่อนหลัง ดังต่อไปนี้ (1) ผู้สืบสันดาน (2) บิดามารดา (3) พี่น้องร่วมบิดามารดา (4) พี่น้องร่วมบิดา / มารดาเดียวกัน (5) ปู่ ย่า ตา ยาย (6) ลุง ป้า น้า อา
ว. 2 คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็เป็นทายาทโดยธรรม ภายใต้ ม. 1635
ม. 1630 ตราบใดทายาทที่ยังมีชีวิตอยู่ / มีผู้รับมรดกแทนที่ยังไม่ขาดสายในลำดับหนึ่ง ๆ ทายาทผู้ที่อยู่ในลำดับถัดไปไม่มีสิทธิ
ว. 2 มิให้ใช้บังคับ กรณีเฉพาะที่มีผู้สืบสันดานคนใดยังมีชีวิต / มีผู้รับมรดกแทนที่กัน + บิดามารดายังมีชีวิตอยู่ ในกรณีเช่นนั้นให้บิดามารดาได้ส่วนแบ่งเสมือนว่าเป็นทายาทชั้นบุตร
ม. 1635 ลำดับและส่วนแบ่งของคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ ในการรับมรดกให้เป็นไปดังต่อไปนี้
(1) ถ้ามีทายาทตาม ม. 1629 (1) – ผู้สืบสันดาน คู่สมรสได้ส่วนแบ่งเสมือนว่าตนเป็นทายาทชั้นบุตร
(2) ถ้ามีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน / มีผู้รับมรดกแทนที่ ถ้าไม่มีผู้สืบสันดาน แต่มีบิดามารดา คู่สมรสได้กึ่งหนึ่ง
(3) ถ้ามีพี่น้องร่วมบิดา / ร่วมมารดาเดียวกัน , ลุง ป้า น้า อา / มีผู้รับมรดกแทนที่ , มีปู่ ย่า ตา ยาย คู่สมรสได้ 2/3 ส่วน
(4) ถ้าไม่มีทายาทตาม ม. 1629 เลย คู่สมรสมีสิทธิได้รับทั้งหมด
ม. 1636 ถ้าเจ้ามรดกมีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย ก่อนใช้ บรรพ 5 หลายคน ทุกคนรวมกันมีสิทธิได้รับตามลำดับชั้นและส่วนแบ่งตาม ม.1635 แต่ในระหว่างกันเองให้ภริยาน้อยได้กึ่งส่วนที่ภริยาหลวงได้รับ
ม.1639 ถ้าบุคคลซึ่งจะเป็นทายาทตาม ม.1629 (1) , (3) , (4) , (6) ถึงแก่ความตาย / ถูกกำจัดมิให้รับมรดก ก่อนเจ้ามรดกตาย ผู้สืบสันดานของบุคคลนั้นรับมรดกแทนที่ได้ ถ้าผู้สืบสันดานของบุคคลนั้นตาย / ถูกกำจัด เช่นเดียวกัน ก็ให้ผู้สืบสันดานของผู้สืบสันดานนั้นรับมรดกแทนที่ และให้รับแทนที่เฉพาะส่วนแบ่งของบุคคลนั้นเป็นรายๆไป
ม. 1696 ถ้าผู้ทำพินัยกรรมได้โอนไปโดยสมบูรณ์ ซึ่งทรัพย์สินอันเป็นวัตถุแห่งข้อกำหนดพินัยกรรมด้วยความตั้งใจ ข้อกำหนดพินัยกรรมนั้นเป็นอันถูกเพิกถอนไป รวมถึงผู้ทำพินัยกรรมได้ทำลายทรัพย์สินนั้นด้วยความตั้งใจ
ม. 1697 ถ้าผู้ทำพินัยกรรมมิได้แสดงเจตนาไว้ในพินัยกรรมเป็นอย่างอื่น และปรากฏว่าพินัยกรรมฉบับก่อนกับพินัยกรรมฉบับหลังขัดกัน ให้ถือว่าพินัยกรรมฉบับก่อนเป็นอันถูกเพิกถอนโดยฉบับหลัง เฉพาะส่วนที่มีข้อความขัดกันเท่านั้น
ม. 1698 ข้อกำหนดพินัยกรรมนั้นย่อมตกไปเมื่อ (1) ผู้รับพินัยกรรมตายก่อนผู้ทำพินัยกรรม (2) ข้อกำหนดพินัยกรรมเป็นผลใช้ได้ต่อเมื่อเงื่อนไขสำเร็จ และผู้รับพินัยกรรมตายก่อนเงื่อนไขสำเร็จ / เป็นที่แน่นอนว่าเงื่อนไขนั้นไม่อาจสำเร็จได้ (3) ผู้รับพินัยกรรมบอกสละพินัยกรรม (4) ทรัพย์สินที่ยกให้สูญหาย / ถูกทำลาย โดยผู้ทำพินัยกรรมมิได้ตั้งใจในระหว่างผู้ทำพินัยกรรมยังมีชีวิวตอยู่ และมิได้ของกลับมาแทน / สิทธิที่จะเรียกค่าทดแทน



ข้อ ๙. การค้าระหว่างประเทศ
พ.ร.บ. รับขนทางทะเล
ม. 3 ผู้ขนส่ง คือ บุคคลซึ่งประกอบการรับขนของทางทะเลเพื่อบำเหน็จเป็นทางค้าปกติ โดยทำสัญญากับผู้ส่งของ
ผู้ขนส่งอื่น คือ บุคคลซึ่งมิได้เป็นคู่สัญญากับผู้ส่งของในสัญญารับขนของทางทะเล แต่ได้รับมอบหมายจากผู้ขนส่งให้ทำ
การขนส่งของตามสัญญานั้นแม้เพียงชั่วระยะทาง และให้รวมถึงบุคคลอื่นซึ่งผู้ขนส่งอื่นได้มอบหมายช่วงต่อไป
ผู้ส่งของ คือ บุคคลซึ่งเป็นคู่สัญญากับผู้ขนส่งในสัญญารับขนของทางทะเล
ภาชนะขนส่ง คือ ตู้สินค้า / ไม้รองสินค้า / สิ่งอื่นที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน ซึ่งใช้บรรจุ / รองรับของ / ใช้รวมหน่วยการขนส่ง
ของหลายหน่วยการขนส่งเข้าด้วยกัน เพื่อประโยชน์ในการขนส่งทางทะเล
หน่วยการขนส่ง คือ หน่วยแห่งของที่ขนส่งทางทะเลซึ่งนับเป็นหนึ่ง + แต่ละหน่วยอาจทำการขนส่งไปตามลำพังได้ เช่น กระสอบ / ชิ้น / ถัง / ตู้ / ม้วน / ลัง / ลูก / ห่อ / อวัยวะเพศหญิงบ / อัน / หน่วยที่เรียกชื่ออย่างอื่น
ม. 8 ก่อนบรรทุกของลงเรือ / ก่อนที่เรือนั้นจะออกเดินทาง ผู้ขนส่งมีหน้าที่ต้อง (1) ทำให้เรือมีสภาพดี (2) จัดให้มีคนประจำเรือ เครื่องมือ / เครื่องใช้ / เครื่องอุปกรณ์ + สิ่งจำเป็นให้เหมาะสม (3) จัดระวางบรรทุกให้เหมาะสม + ปลอดภัย + รักษาอุณหภูมิ
ม. 10 ผู้ขนส่งต้องใช้ความระมัดระวัง + ปฏิบัติการให้เหมาะสมในการบรรทุก / การยกขน / การเคลื่อนย้าย / การเก็บรักษา
ม. 11 ผู้ขนส่งมีสิทธิบรรทุกของบนปากระวางเฉพาะในกรณีที่ได้ตกลงกันไว้
ม. 17 ข้อกำหนดใดในสัญญารับขนของทางทะเลซึ่งมีวัตถุประสงค์ /มีผล ดังต่อไปนี้ เป็นโมฆะ
(1) ปลดเปลื้องผู้ขนส่งจากหน้าที่ / ความรับผิดใดๆตามที่กฎหมายกำหนด
(2) กำหนดความรับผิดของผู้ขนส่งให้น้อยกว่าที่กำหนดไว้ใน ม. 48, 60 แต่ไม่ตัดสิทธิให้กำหนดความรับผิดมากขึ้น
(3) ปัดภาระการพิสูจน์ กรณีที่กำหนดให่เป็นหน้าที่ของผู้ขนส่ง
(4) ให้ผู้ขนส่งเป็นผู้รับประโยชน์ในสัญญาประกันภัย
ม. 31 ผู้ส่งของไม่ต้องรับผิดเพื่อการที่ผู้ขนส่ง / ผู้ขนส่งอื่น ได้รับความเสียหาย / การที่เรือเสียหาย เว้นแต่เป็นความผิด / ประมาทของผู้ส่งของ /ตัวแทน /ลูกจ้าง / จากสภาพแห่งของนั้น โดยผู้ส่งของมิได้ปฏิบัติตามประเพณีแห่งการค้า
ม. 39 ความรับผิดของผู้ขนส่ง ต้องรับผิดในความเสียหายระหว่างที่ของอยู่ในการดูแลของตน
ม. 40 กรณีที่ถือว่าผู้ขนส่งได้ส่งมอบของแล้ว
ม. 43 ผู้ขนส่งยังคงรับผิดเพื่อการเสียหาย สูญหาย หรือส่งมอบชักช้าแม้จะได้มอบหมายให้ผู้ขนส่งอื่น
ม. 44 นำบทบัญญัติความรับผิดของผู้ขนส่งมาใช้กับผู้ขนส่งอื่น เฉพาะที่ผู้ขนส่งอื่นได้รับมอบหมาย
ม. 45 กรณีรับผิดร่วมกันให้ผู้ขนส่งอื่นเป็นลูกหนี้ร่วม
ม. 48 สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายผู้รับตราส่งต้องส่งคำบอกกล่าวเป้นหนังสือ ภายใน 60 วัน นับแต่วันรับของ
ม. 51 ผู้ขนส่งไม่ต้องรับผิด หากพิสูจน์ได้ว่าปฏิบัติตาม มาตรา 8 วรรคสอง และมาตรา 9 แล้ว
ม. 52 ผู้ขนส่งไม่ต้องรับผิด (1) เหตุสุดวิสัย (9) ความผิดของผู้ส่งของหรือผู้รับตราส่ง (10) สภาพแห่งของนั้น
ม. 57 ผู้ขนส่งไม่ต้องรับผิดหากของที่ส่งนั้นเป็นของมีค่าแต่ผู้ส่งของหรือผู้รับตราส่งมิได้แจ้ง
ม. 58 จำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งไว้เพียง 10,000 บาท / หนึ่งหน่วยการขนส่ง , กิโลกรัมละ 30 บาท
ม. 59 ในการคำนวณว่าเงินจำนวนใดจะมากกว่าตาม มาตรา 58 ให้ใช้หลักดังนี้
(1) กรณีรวมหลายหน่วยการขนส่งเป็นหน่วยเดียวกัน ถ้าระบุจำนวน + ลักษณะที่รวมกันไว้ในใบตราส่ง ให้ถือตามที่ระบุ แต่ถ้าไม่ระบุ ให้ถือว่าของทั้งหมดเป็นหนึ่งหน่วยการขนส่ง
(2) กรณีตัวภาชนะขนส่งสูญหาย / เสียหาย ถ้าผู้ขนส่งไม่ได้เป็นเจ้าของ / ผู้จัดหา ถือว่าภาชนะขนส่งอันหนึ่งเป็นของหนึ่งหน่วยการขนส่งอีกต่างหากจากที่มีอยู่ใน / บนภาชนะขนส่งนั้น
ม. 60 การจำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งตาม ม. 48 มิให้ใช้บังคับ กรณีดังต่อไปนี้
(1) การสูญหาย / เสียหาย / ส่งมอบชักช้า เป็นผลจากการที่ผู้ขนส่ง / ตัวแทน / ลูกจ้าง กระทำ / งดเว้นกระทำ โดยมีเจตนาที่จะให้เกิดการสูญหาย / เสียหาย / ส่งมอบชักช้า ทั้งที่รู้ว่าอาจเกิดขึ้นได้
(2) ผู้ส่งของ + ผู้ขนส่งตกลงกันกำหนดความรับผิดไว้มากกว่าที่กำหนดตาม ม. 58 โดยระบุไว้ในใบตราส่ง
(3) ผู้ขนส่งได้จดแจ้งรายการใดๆ ไว้ในใบตราส่งตามที่ผู้ส่งของแจ้ง / จัดให้โดยไม่บันทึกของสงวนเกี่ยวกับรายการนั้นไว้ ในใบตราส่ง ทั้งนี้ โดยมีเจตนาที่จะฉ้อฉลผู้รับตราส่ง
(4) ผู้ส่งของได้แจ้งราคาของที่ขนส่งให้ผู้ขนส่งทราบ + ผู้ขนส่งยอมรับโดยแสดงราคาของนั้นไว้ในใบตราส่ง แต่ถ้าราคาที่คำนวณได้ตาม ม. 61 ต่ำกว่าราคาที่แสดงในใบตราส่ง ให้ผู้ขนส่งรับผิดเพียงเท่าราคาที่คำนวณได้
ม. 61 การคำนวณราคาของที่สูญหาย /เสียหาย ตาม ม. 58 ใช้หลักเกณฑ์ดังนี้
(1) ถ้าสูญหาย / เสียหายทั้งหมด ให้คำนวณเท่ากับราคาที่ของนั้นจะพึงมีในเวลาที่ของส่งมอบ ณ ปลายทาง
(2) ถ้าสูญหาย / เสียหายบางส่วน ให้คำนวณตามส่วนโดยเทียบกับราคาของอย่างเดียวกัน + คุณภาพเท่าเทียมกัน ที่ยังเลืออยู่ในเวลาส่งมอบ ณ ปลายทาง

ข้อ ๑๐. กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา
พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ม. 4 บทนิยาม
ลิขสิทธิ์ คือ สิทธิแต่ผู้เดียวที่ทำการใดๆ ตาม พ.ร.บ. นี้ เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น
ผู้สร้างสรรค์ คือ ผู้ทำ / ก่อให้เกิดงานสร้างสรรค์อย่างหนึ่งอย่างใดที่เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์
วรรณกรรม คือ งานนิพนธ์ที่ทำขึ้นทุกชนิด เช่น หนังสือ จุลสาร สิ่งพิมพ์ รวมถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์
สิ่งบันทึกเสียง คือ งานอันประกอบด้วยลำดับของเสียงดนตรี เสียงการแสดง เสียงอื่นใดโดยบันทึกลงในวัสดุใดๆ อันสามารถที่จะนำมาเล่นซ้ำได้อีกโดยใช้เครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการใช้วัสดุนั้น
ทำซ้ำ คือ คัดลอกไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆ เลียนแบบ ทำสำเนา ทำแม่พิมพ์ บันทึกเสียง บันทึกภาพ จากต้นฉบับ สำเนา การโฆษณา ในส่วนอันเป็นสาระสำคัญ
ม. 6 งานอันมีลิขสิทธิ์ ได้แก่ งนสร้างสรรค์ประเภทวรรณกรรม นาฎกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง งานแพร่เสียง งานศิลปะ ของผู้สร้างสรรค์ ไม่ว่าจะแสดงออกโดยวิธีใด / รูปแบบใด
ม. 8 ให้ผู้สร้างสรรค์เป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในงานที่ตนได้สร้างสรรค์ขึ้น ภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้
(1) กรณียังไม่โฆษณา ผู้สร้างสรรค์ต้องมีสัญชาติไทย / อยู่ในราชอาณาจักร / มีสัญชาติประเภทภาคี
(2) กรณีที่โฆษณาแล้ว ครั้งแรกได้ ครั้งแรกได้ทำในราชอาณาจักร / ในประเทศภาคี / ครั้งแรกได้ทำนอกราชอาณาจักร หากได้มีการโฆษณาในราชอาณาจักร / ประเทศภาคี ภายใน 30 วัน นับแต่โฆษณาครั้งแรก
ม. 9 งานที่สร้างสรรค์ขึ้นในฐานะลูกจ้าง ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น ลูกจ้างเป็นผู้มีลิขสิทธิ์ แต่นายจ้างเผยแพร่ได้
ม. 10 งานที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยการรับจ้าง ผู้ว่าจ้างได้ลิขสิทธิ์ เว้นแต่ได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น
ม. 12 งานใดที่เป็นการนำงานอันมีลิขสิทธิ์มารวบรวม / ประกอบเข้ากันโดยได้รับอนุญาต ผู้ที่รวบรวม / ประกอบเข้ากันได้ลิขสิทธิ์
ม. 14 ส่วนราชการย่อมมีลิขสิทธิ์ในงานที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยการจ้าง / คำสั่ง / ในการควบคุม เว้นแต่ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น
ม. 15 ภายใต้ ม.9 ,10 , 14 เจ้าของลิขสิทธิ์ย่อมมีสิทธิ์เพียงผู้เดียวดังต่อไปนี้
(1) ทำซ้ำ / ดัดแปลง
(2) เผยแพร่ต่อสาธารณชน
(3) ให้เช่าต้นฉบับ / สำเนางานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง
(4) ให้ประโยชน์อันเกิดจากลิขสิทธิ์แก่ผู้อื่น
(5) อนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิตาม (1) , (2) , (3)
ม. 17 ลิขสิทธิ์ย่อมโอนแก่กันได้ – การโอนมิใช่ทางมรดกต้องทำเป้นหนังสือลงลายมือชื่อผู้โอน + ผู้รับโอน ถ้าไม่ได้กำหนดเวลาให้ใช้ระยะเวลา 10 ปี
ม. 19 ภายใต้ ม.21 , 22 ลิขสิทธิ์ให้มีอยู่ตลอดอายุผู้สร้างสรรค์ + ต่อไปอีก 50 ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์ตาย
ม. 22 ลิขสิทธิ์ในงานศิลปประยุกต์ให้มีอายุ 25 ปี นับแต่ได้สร้างสรรค์ แต่ถ้าโฆษณาในระหว่างเวลาดังกล่าว ให้มีอายุอีก 25 ปี นับแต่วันที่โฆษณาครั้งแรก
ม. 27 การกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ โดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ถ้าได้กระทำดังต่อไปนี้
(1) ทำซ้ำ / ดัดแปลง
(2) เผยแพร่ต่อสาธารณชน
ม. 32 การกระทำแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของบุคคอื่น หากไม่ขัดต่อการแสวงหาประโยชน์จากงานอันมีลิขสิทธิ์ตามปกติของเจ้าของลิขสิทธิ์เกินสมควร ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดลิสิทธิ์
ว. 2 มิให้ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ถ้าได้กระทำดังต่อไปนี้
(1) วิจัย / ศึกษางาน มิใช่เพื่อหากำไร
(2) ใช้เพื่อประโยชน์ของตน / บุคคลอื่นในครอบครัว
(3) ติชม / วิจารณ์ /แนะนำผลงานโดยมีการรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
(4) เสนอรายงานข่าวทางสื่อสารมวลชน
(5) ทำซ้ำ / ดัดแปลง / นำออกแสดง / ทำให้ปรากฏ เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาของศาล
(6) ทำซ้ำ / ดัดแปลง / นำออกแสดง / ทำให้ปรากฏ เพื่อประโยชน์ในการสอนของตน
(7) ทำซ้ำ / ดัดแปลงบางส่วนของงาน / ตัดทอน / ทำสรุปโดยผู้สอน / สถาบันศึกษา เพื่อแจกจ่าย / จำหน่ายในชั้นเรียน
(8) นำงานนั้นมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการถาม + ตอบในการสอบ
ม. 33 การกล่าว / คัดลอก / เลียน / อ้างอิงงาน บางตอนตามสมควร โดยมีการรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ไม่ถือว่าเป็นการละเมิด
ม. 44 นักแสดงย่อมมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการกระทำอันเกี่ยวกับการแสดงของตน
พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ. 2522 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2542)
ม. 3 บทนิยาม
สิทธิบัตร คือ หนังสือสำคัญที่ออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์ / การออกแบบผลิตภัณฑ์
อนุสิทธิบัตร คือ หนังสือสำคัญที่ออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ + ประยุกต์ในทางอุตสาหกรรม
การประดิษฐ์ คือ การคิดค้น / คิดทำขึ้น อันเป็นผลให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ / กรรมวิธีใดขึ้นใหม่ / การกระทำใดๆ ที่ทำให้ดีขึ้นซึ่งผลิตภัณฑ์ / กรรมวิธี
กรรมวิธี คือ วิธีการ / กระบวนการ /กรรมวิธีในการผลิต / การเก็บรักษาให้คงสภาพ / ให้มีคุณภาพดีขึ้นซึ่งผลิตภัณฑ์
แบบผลิตภัณฑ์ คือ รูปร่างของผลิตภัณฑ์ /องค์ประกอบของลวดลาย /สีของผลิตภัณฑ์ อันมีลักษณะพิเศษสำหรับผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรม รวมทั้งหัตถกรรมได้
ม. 5 ภายใต้ ม. 9 การประดิษฐ์ที่ขอรับสิทธิบัตรได้ต้องประกอบด้วย (1) เป็นการประดิษษฐ์ขึ้นใหม่ (2) ที่มีขั้นตอนการประดิษฐ์สูงขึ้น และ (3) สามารถประยุกต์ในทางอุตสาหกรรม
ม. 6 การประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ได้แก่ การประดิษฐืที่ไม่เป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้ว
ม. 35 สิทธิบัตรการประดิษฐ์ ให้มีอายุ 20 ปี นับแต่วันขอรับสิทธิบัตรในราชอาณาจักร
ม. 36 ผู้ทรงสิทธิบัตรเท่านั้นมีสิทธิดังต่อไปนี้
(1) กรณีสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ – สิทธิในการผลิต /ใช้ / ขาย / มีไว้เพื่อขาย / เสนอขาย / นำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งผลิตภัณฑ์
(2) กรณีสิทธิบัตรกรรมวิธี – สิทธิในการใช้กรรมวิธีตามสิทธิบัตร / ผลิต /ใช้ / ขาย / มีไว้เพื่อขาย / เสนอขาย / นำเข้า
ว.2 ความตามวรรค 1 ไม่ให้ใช้บังคับแก่ (1) การกระทำใดๆ เพื่อประโยชน์ในการศึกษา / ค้นคว้า / ทดลอง / วิจัย ทั้งนี้ต้องไม่ขัดประโยชน์ของผู้ทรงสิทธิบัตร , (2) – (6) , (7) การใช้ / ขาย / มีไว้เพื่อขาย / เสนอขาย / นำเข้า ซึ่งผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตร หากผู้ทรงสิทธิบัตรได้อนุญาต / ยินยอมให้ผลิต / ขายผลิตภัณฑ์ดังกล่าว
ม. 38 ผู้ทรงสิทธิบัตรจะอนุญาตให้บุคคลใดใช้สิทธิตามสิทธิบัตรของตน / โอนสิทธิบัตรให้แก่บุคคลอื่นก็ได้
ม. 39 การอนุญาตตาม ม. 38 นั้น จะกำหนดเงื่อนไข / ข้อจำกัดสิทธิ / ค่าตอบแทน โดยไม่ชอบธรรมไม่ได้ ถ้าหากขัดเป็นโมฆะ
ม. 56 การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่จะขอรับสิทธิบัตรได้นั้นจะต้องเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่ออุตสาหกรรม / หัตถกรรม
ม. 57 กรณีที่ไม่ถือว่าเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ (1) แบบผลิตภัณฑ์ที่ใช้ / มีกันอย่างแพร่หลายอยู่แล้วในราชอาณาจักร ก่อนวันขอรับจดทะเบียน (2) แบบผลิตภัณฑ์ที่ได้มีการเปิดเผยภาพ / สาระสำคัญ / รายละเอียดในเอกสาร , สิ่งพิมพ์ที่ได้เผยแพร่อยู่แล้วไม่ว่าใน / นอกราชอาณาจักร (3) แบบผลิตภัณฑ์ที่เคยมีประกาศโฆษณาตาม ม.65 + 28 มาแล้ว
ม. 58 การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ขอรับสิทธิบัตรไม่ได้ (1) ที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย (2) ที่กำหนดไว้โดยพระราชกฤษฎีกา
ม. 62 สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีอายุ 10 ปี นับแต่วันขอรับสิทธิบัตรในราชอาณาจักร
ม. 63 ผู้ทรงสิทธิบัตรเท่านั้น มีสิทธิใช้แบบผลิตภัณฑ์กับผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตร / ขาย / มีไว้เพื่อขาย / เสนอขาย / นำเข้า ซึ่งผลิตภัณฑ์ตามแบบผลิตภัณฑ์ เว้นแต่ เพื่อประโยชน์ในการศึกษา / วิจัย
ม. 65 ทวิ การประดิษฐ์ที่ขอรับอนุสิทธิบัตรได้ต้องประกอบด้วย (1) เป็นการประดิษฐ์ใหม่ (2) สามารถประยุกต์ในทางอุตสาหกรรม
ม. 65 ตรี บุคคลใดจะขอรับทั้งอนุสิทธิบัตร + สิทธิบัตร สำหรับการประดิษฐ์อย่างเดียวกันไม่ได้
ม. 65 สัตต อนุสิทธิบัตรให้มีอายุ 6 ปี นับแต่วันขอรับอนุสิทธิบัตรในราชอาณาจักร
ว. 2 ผู้ทรงอนุสิทธิบัตรอาจต่ออายุได้อีก 2 คราว มีกำหนดคราวละ 2 ปี โดยยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 90 วัน ก่อนสิ้น
ม. 77 ทวิ กรณีที่มีหลักฐานโดยชัดแจ้งว่ามีผู้กระทำ / กำลังจะกระทำฝ่าฝืนสิทธิของผู้ทรงสิทธิบัตร / ผู้ทรงอนุสิทธิบัตร ผู้ทรงสิทธิอาจขอให้ศาลสั่งระงับ / ละเว้นการกระทำก็ได้ ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิเรียกค่าเสียหายตาม ม. 77 ตรี
ม. 77 ตรี ในกรณีที่มีการฝ่าฝืนสิทธิของผู้ทรง ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ฝ่าฝืนชดใช้ค่าเสียหายได้ตามที่เห็นสมควร
พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2543)
ม. 4 เครื่องหมายการค้า คือ เครื่องหมายที่ใช้ / จะใช้เป็นที่หมาย / เกี่ยวข้องกับสินค้า เพื่อแสดงว่าสินค้าใช้เครื่องหมายของเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น แตกต่างกับสินค้าของบุคคลอื่น
ม. 6 เครื่องหมายการค้าอันพึงจดทะเบียนได้ (1) มีลักษระบ่งเฉพาะ (2) ไม่มีลักษณะต้องตาม พ.ร.บ. นี้ (3) ไม่เป็นเครื่องหมายการค้าที่เหมือน / คล้ายกับเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น
ม. 7 มีลักษณะบ่งเฉพาะ คือ มีลักษณะที่ทำให้ประชาชน / ผู้ใช้สินค้านั้นทราบ + เข้าใจได้ว่า สินค้าที่ใช้เครื่องหมายนั้นแตกต่างไปจากสินค้าอื่น
ม. 8 เครื่งหมายการค้าที่ห้ามจดทะเบียน (1) – (13) เช่น ... (9) เครื่องหมายที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย / ศีลธรรมอันดีของประชาชน (10) เครื่องหมายที่เหมือนกับเครื่องหมายที่มีชื่อเสียงแพร่หลายทั่วไป
ม. 42 ให้ถือว่าวันที่ยื่นคำขอจดทะเบียนเป็นวันที่จดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้น
ม. 44 ภายใต้ ม. 27 , 68 ผู้ซึ่งได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า เป็นผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในอันที่จะใช้เครื่องหมายการค้า สำหรับสินค้าที่ได้จดทะเบียนไว้
ม. 45 เครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนไว้โดยมิได้จำกัดสีนั้น ถือว่าได้จดทะเบียนไว้ทุกสี
ม. 46 บุคคลใดจะฟ้องคดี เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้จดทะเบียน / เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดสิทธิดังกล่าวนั้น ไม่ได้ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิฟ้องผู้เอาสินค้าของตนไปลวงขายว่าเป็นของเจ้าของสิทธิ
ม. 47 การจดทะเบียนตาม พ.ร.บ. นี้ ไม่ขัดขวางบุคคลใดในการใช้ชื่อโดยสุจริตซึ่งชื่อตัว ชื่อสกุล / ชื่อสำนักงานการค้าของตน / ของเจ้าของเดิมของกิจการของตน / ไม่เป็นการขัดขวางบุคคลใดในการใช้คำบรรยายโดยสุจริตซึ่งลักษณะ / คุณสมบัติแห่งสินค้าของตน
ม. 48 สิทธิในคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่ได้ยื่นไว้แล้ว ย่อมโอน / รับมรดกกันได้

............................................................... จบ  

อาญา

ข้อ 1 . ดูหมิ่น จพง.

ม.136 ผู้ใด ดูหมิ่นจพง. ซึ่งกระทำการ หรือเพราะได้กระทำตามหน้าที่


ต่อสู้ขัดขวาง จพง.

ม. 138 ผู้ใดต่อสู้ขัดขวาง จพง. หรือผู้ซึ่งช่วยเหลือ จพง.ตามกม. ในการปฏิบัติการ ตามหน้าที่

ม. 139 ผู้ใดข่มขืนใจ จพง.ให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่ หรือให้ละเว้นฯ โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขุ่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย

ม. 140 ว.1 ม.138-139 ได้กระทำโดยมีอาวุธ หรือ 3 คนขึ้นไป 

ว.2 กระทำโดยอ้างอำนาจอั้งยี่/ ซ่องโจร ไม่ว่าจะมีอยู่หรือไม่

ว.3 กระทำโดยมี หรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด

ม. 165 ผู้ใดเป็น จพง. มีหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามกม. ป้องกันหรือขัดขวาง มิให้เป็นไปตามกฎหมาย/คำสั่ง


แจ้งความเท็จ ต่อจพง.

ม.137 ผู้ใดแจ้งความอันเป็นเท็จแก่ จพง. ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือ ปชช.เสียหาย

ม.172 ผู้ใดแจ้งความอันเป็นเท็จแก่ พนง.อัยการ ศาล พงส. พนงสืบฯ ซึ่งอาจทำให้ ผู้อื่นหรือปชช.เสียหาย

ม.173 ผู้ใดรู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น แจ้งความแก่ พงส. ว่าได้มีการกระทำความผิด 

ม.174 แจ้งความตาม ม.172 / ม.173 เพื่อแกล้งให้บุคคลต้องถูกบังคับตามวิธีการเพื่อความปลอดภัย 


ชุดทำลาย

ม.141 ผู้ใดถอน ทำให้เสียหาย ทำลาย หรือทำให้ไร้ซึ่งประโยชน์ ซึ่งตราหรือเครื่องหมาย จพง.ประทับหรือหมายไว้ที่สิงใดๆ เพื่อยึด อายัด รักษาสิ่งนั้นๆ

ม.142 ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น ทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์สินหรือเอกสาร เพื่อบังคับการให้เป็นไปตาม กม.

ม. 158 ผู้ใดเป็น จพง. ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย ทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์หรือเอกสารใด อันเป็นหน้าที่ของตนที่จะรักษาไว้ หรือยินยอมให้ผู้อื่นกระทำเช่นนั้น

ม.184 ผู้ใดเพื่อช่วยผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษ หรือรับโทษน้อยลง ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย ทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ ซึ่งพยานหลักฐาน ในการกระทำความผิด

ม.188 ผู้ใด ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย ทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ซึ่งพินัยกรรม หรือเอกสารใดของผู้อื่น ซึ่งจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือ ปชช.

ม.199 ผู้ใดลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพ หรือส่วนของศพ เพื่อปิดบังการเกิด หรือตาย  


เรียกรับสินบน

ม.143 (คนกลางเรียกรับ) ผู้ใดเรียกรับ ยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตน หรือผู้อื่น ตอบแทนที่จะจูงใจหรือได้จูงใจ จพง.สส.สว. สจ.สท.โดยวิธีทุจริต หรืออิทธิพล ให้กระทำการหรือไม่กระทำการในหน้าที่ เป็นคุณ/เป็นโทษแก่ผู้ใด

ม. 148 (จพง.ข่มขืนใจ) ผู้ใดเป็นจพง. ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบข่มขืนใจ หรือจูงใจ เพื่อให้บุคคลมอบ หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น 

ม.149 (จพง.การเมืองเรียกรับ) ผู้ใดเป็นจพง.สว. สจ.สท. เรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนหรือผู้อื่น เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่

ม.201 (จพง.ยุติธรรมเรียกรับ) ผู้ใดเป็นจพง.ในตำแหน่งตุลาการ พนง.อัยการ พงส. เรียก รับ หรือยอมจะรับฯ 


ให้สินบน

ม. 144 (ให้สินบนจพง.) ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ จพง. สว.สจ.สท. เพื่อจูงใจให้กระทำการหรือไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่

ม.167 (ให้สินบนจพง.ยุติธรรม) ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ จพง. ตุลาการ พนง.อัยการ .พงส. เพื่อจูงใจให้กระทำการหรือไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่


แสดงตนเป็น จพง.

ม.145 ผู้ใดแสดงตนเป็น จพง.และกระทำการเป็นจพง. โดยที่ตนเองมิได้เป็นจพง.ที่มีอำนาจกระทำการนั้น

ม.146 ผู้ใดไม่มีสิทธ์สวมเครื่องแบบ ประดับเครื่องหมายจพง. ใช้ยศ กระทำการเช่นนั้นเพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิ์


มักออกแซมประเด็นหลัก

ม.147 (จพง.ยักยอก) ผู้ใดเป็นจพง. หน้าที่ ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่น โดยทุจจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไป 

ม. 157 ผู้ใดเป็นจพง. ปฏิบัติหรือละว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

ม. 200 ผู้ใดเป็นจพง.ในตำแหน่งการยุติธรรม กระทำการหรือไม่กระทำการในตำแหน่งโดยมิชอบ เพื่อช่วยให้บุคลลใด รับโทษน้อยลง มิต้องรับโทษ หรือรับโทษหนักขึ้น


ปลอมเอกสาร (ตนมีหน้าที่)

ม. 161 ผู้ใดเป็น จพง. มีหน้าที่ทำเอกสาร กรอกข้อความในเอกสาร ดูแลรักษาเอกสาร กระทำการปลอมเอกสารโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่นั้น

ม.162 ผู้ใดเป็น จพง. มีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสาร หรือกรอกข้อความลงในเอกสาร กระทำการ

(1) รับรองหลักฐานว่าตนได้กระทำขึ้น หรือกระทำขึ้นต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จ

(2) รับรองเป็นหลักฐานว่า ได้มีการแจ้งข้อความอันมิได้มีการแจ้ง

(3) ละเว้นไม่จดข้อความ ซึ่งตนมีหน้าที่ หรือเปลี่ยนแปลงข้อความ

(4) รับรองหลักฐานซึ่งเอกสารมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ


เท็จทั่วไป

ม.179 (เท็จชั้นสอบสวน) ผู้ใดทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ เพื่อให้พงส. จพง.สืบสวนคดีอาญา เวื่อว่าได้มีความผิดอาญาเกิดขึ้น หรือเชื่อว่าร้ายแรงกว่าที่เป็นจริง

ม.175 (เอาเท็จ 179 ฟ้องผู้อื่นต่อศาล) ผู้ใดเอาความเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญา หรือกระทำแรงกว่าที่เป็นความจริง 

ม.177 (เบิกเท็จนั้นในการพิจารณา กรณีพยานบุคคล) ผู้ใดเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล ถ้าความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี 

ม.180 (นำมาสืบ/แสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ) ผู้ใดนำสืบหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี ถ้าเป็นพยานหลักฐานในข้อสำคัญ


หลบหนี

ม.189 ผู้ใดช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด เพื่อไม่ให้ต้องรับโทษ โดยให้ที่พำนัก ซ่อนเร้น หรือช่วยไม่ให้ถูกจับกุม

ม.190 ผู้ใดหลบหนีระหว่างถูกคุมขัง

ม.191 ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ ให้ผู้ที่ถูกคุมขัง พ้นจากการคุมขัง

ม.192 ผู้ใดให้พำนัก ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประกรใดให้ผู้ที่หลบหนีการคุมขัง เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม

ม.204 ผู้ใดเป็นจพง. มีหน้าที่ควบคุมดูแลผู้ที่ต้องคุมขัง กระทำด้วยประการใดๆ ให้ผู้ถูกคุมขังหลุดพ้นจากการถูกคุมขัง

ม.205 ว.3 ถ้าผู้กระทำความผิดตาม ม.204 จัดให้ได้ตัวผู้ที่หลุดพ้นคุมขังคืนมาภายใน 3 เดือน ให้งดการลงโทษ


ถือว่ากระทำผิดในราชอาณาจักร

ม.4 ผู้ใดกระทำความผิดในราชอาณาจักร ว.2 การกระทำความผิดในเรือไทยหรืออากาศยานไทย ไม่ว่าอยู่ที่ใด

ม.5 ความผิดใดที่การกระทำส่วนหนึ่งส่วนใดในราชฯ ผลแห่งการกระทำเกิดในราชฯ โดยผู้กระทำประสงค์ให้ผลนั้นเกิด หรือย่อมจะเล็งเห็นได้ว่าผลจะเกิด

กรณีเตรียมการ พยายามกระทำการ แม้กระทำนอกราชฯ หากกระทำตลอดไปจนผิดสำเร็จ ผลจะเกิดในราชฯ ถือว่าการตระเตรียมการ หรือพยายามได้กระทำในราชฯ 

ม.6 ความผิดใดที่กระทำในราช ฯ หรือถือว่ากระทำในราชฯ แม้ตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ กระทำนอกราชฯ ถือว่าได้กระทำในราช ฯ

ม.11 ผู้ใดกระทำผิดในราช ฯ หรือถือว่ากระทำผิดในราชฯ ได้รับโทษใน ตปท.มาแล้วทั้หมด/บางส่วน ศาลจะลงโทษน้อยลง หรือไม่ลงโทษก็ได้ 


ให้รับโทษในราชอาณาจักร

ม.7 (หลักลงโทษสากล) ผุ้ใด (ใครก็ได้)กระทำความผิด เหล่านี้ นอกราช ฯ ต้องรับโทษในราช ฯ

(1) ความมั่นคง แห่งราช ฯ ม.107-129 (1/1) ก่อการร้าย ม.135/1 -4

(2) ปลอมและปลง ม.240- 249 254 256 257 266(3)(4) (2 ทวิ) เกี่ยวกับเพศ 282 283 (ม.283 ทวิ ไม้เข้าม.7) (3) ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ในทะเลหลวง

ม.8 ผู้ใด (คนไทย) กระทำความผิดนอกราช ฯ และ ผู้กระทำ หรือผู้เสียหายเป็นคนไทย รัฐบาลไทย/รัฐบาลประเทศที่ความผิดเกิดขึ้นร้องขอ ให้ลงโทษ ต้องรับโทษในราช ฯ

ม.9 จพง.รัฐบาลไทย กระทำความผิดตาม ม.147 ถึง 166 ม..200 – ม.205 นอกราช ฯ รับโทษในราช ฯ

ม.10 ผู้ใดกระทำผิดนอกราชฯ ตาม ม.7(2)(3) ม.8 ม.9 ห้ามมิให้ลงโทษผู้นั้นอีก ถ้ษศาล ตปท.ปล่อยตัว หรืผู้นั้นพ้นโทษแล้ว ถ้ายังไม่พ้นโทษ ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่ กม.กำหนด หรือไม่ลงโทษก็ได้


ริบทรัพย์สิน 32 ริบทั้งหมด 33 ดุลพินิจ

ม.32 ทรัพย์ใดที่ กม.บัญญัติไว้ ว่าผู้ใดทำ หรือมีไว้เป็นความผิด ให้ริบเสียทั้งสิ้น ไม่ว่าเป็นของผู้กระทำผิด และมีผู้ถูกลงโทษตาม พพษ. หรือไม่

ม.33 นอกจาก ม.32 แล้ว ศาลมีอำนาจสั่งริบ ทรัพย์ซึ่งได้ใช้ หรือมีไว้เพื่อใช้ ในการกระทำความผิด หรือได้มาโดยกระทำความผิด ว.2 เว้นแต่เป็นของผู้อื่น ซึ่งมิได้รู้เห็นในการกระทำความผิด

ม.34 บรรดาทรัพย์สิน (1) ซึ่งได้ให้ ตาม ม.143 ม.144 ม.149 ม.150 ม.167 ม.201 ม.202 

(2) ซึ่งได้ให้เพื่อจูงใจ/เป็นรางวัล บุคคลให้กระทำความผิด ให้ริบเสียทั้งสิ้น เว้นแต่ทรัพย์นั้นเป็นของผู้อื่น 


เพิ่มโทษ ลดโทษ รอการลงโทษ

ม.56 ผู้ใดกระทำความผิดมีโทษจำคุก และศาลจะลงโทษไม่เกิน 3 ปีไม่ปรากฏว่าผู้นั้นเคยรับโทษจำคุกมาก่อน หรือเคยรับลหุโทษ หรือประมาท ศาลจะรอกำหนดโทษไว้ หรือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษ ก็ได้ แต่ไม่เกิน 5ปี)

ม.57 เมื่อผู้กระทำความผิดไม่ปฏิบัติตาม ม.56 ศาลจะกำหนดโทษที่รอ หรือลงโทษที่รอก็ได้

ม.58 ถ้ากระทำความผิด มิใช่ลหุ/ประมาท และศาล พพษ. ลงโทษจำคุก ให้ศาลกำหนดโทษที่รอ หรือบวกโทษที่รอ เข้ากับคดีหลังด้วย 


ข้อ 2 และ 3 หลักทั่วไป

ม.59 บุคคลจะต้องรับผิดทางอาญาเมื่อได้กระทำโยเจตนา เว้นแต่กระทำโดยประมาท ในกรณี กม.บัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อประมาท หรือเว้นแต่กรณีกม. บัญญัติให้ต้องรับผิดแม้กระทำโดยไม่มีเจตนา

การกระทำโดยเจตนา รู้สำนึกในการกระทำ ผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด ถือว่าประสงค์/เล็งเห็นผล มิได้ (รู้เท่าใดเจตนาเท่านั้น)

การกระทำโดยประมาท มิใช่โดยเจตนา แต่ปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคลลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัย อาจระมัดระวัง แต่หาเพียงพอไม่

การกระทำ ให้หมายรวมถึงผลอันเกิดขึ้น โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย

***งดเว้น มีหน้าทีต้องทำแต่ไม่ทำ ผิดเท่ากับเคลื่อนไหวร่างกาย (+ม.80 พยายามได้ด้วย)****

เจตนาตามกฎหมาย

ม.60 ผู้ใดเจตนากระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาด ถือว่าเจตนาต่อผู้รับผลร้าย แต่มิให้นำ กม.ที่ลงโทษหนักขึ้นเพราะความสัมพันธ์ มาบังคับ

ม.61 ผู้ใดเจตนากระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทำแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยสำคัญผิด จะยกเอาความสำคัญผิด เป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนามิได้


สำคัญผิด

ม.59 ว.3 ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด ถือว่าประสงค์/เล็งเห็นผล มิได้ (รู้เท่าใดเจตนาเท่านั้น)

ม.61ผู้ใดเจตนากระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทำแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยสำคัญผิด จะยกเอาความสำคัญผิด เป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนามิได้

ม.62 ว.1 ข้อเท็จจริงใด ถ้ามีอยู่จริง ทำให้การกระทำ ไม่เป็นความผิด ไม่ต้องรับโทษ รับโทษน้อยลง แม้จะไม่มีอยู่จริง แต่ผู้กระทำสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง ย่อมไม่มีความผิด หรือยกเว้นโทษ หรือรับโทษน้อยลง


รับโทษหนักขึ้น

ม.62 ว.ท้าย บุคคลต้องรับโทษหนักขึ้นโดยอาศัยข้อเท็จจริงใด ต้องรู้ข้อเท็จจริงนั้นด้วย

ม.63 ผลการกระทำความผิดใดทำให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น ผลนั้นตองเป็นผลที่ธรรมดาย่อมเกิดขึ้นได้


**** ยกเว้นความรับผิด (ป้องกัน) กระทำต่อผู้ก่อภัย ภัยประทุษร้ายละเมิด กม.โดยคน ไม่จำต้องเลี่ยงภัย

ม.68 ผู้ใดจำต้องกระทำการ เพื่อป้องกันสิทธิ์ตน/ผู้อื่น ให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อ กม. และภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าพอสมควรแก่เหตุ เป็นการป้องกัน ผู้นั้นไม่มีความผิด


**** ยกเว้นโทษ (จำเป็น) ไม่จำต้องกระทำต่อผู้ก่อภัย – ภัยอาจเกิดจากสัตว์ – ผู้กระทำต้องหลีกเลี่ยงก่อน

ม.67 ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น เพราะอยู่ในที่บังคับหรือภายใต้อำนาจ ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยง / ขัดขืนได้ 

เพื่อให้ตน / ผู้อื่น พ้นจากภยันตราย ที่ใกล้ถึง และไม่สามารหลีกเลี่ยงให้พ้น ตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้น ถ้าพอสมควรแก่เหตุ ไม่ต้องรับโทษ

ลดโทษ ( 64 65 66 71 ดูพอเข้าใจ) 

ม.72 ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงโดยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น 

ม.69 ม.67 ม.68 เกินสมควรแก่เหตุ ลงโทษน้อยลง ถ้าเกิดจากความตื่นเต้นตกใจ ความกลัว ศาลจะไม่ลงโทษผู้กระทำก็ได้


พยายาม 

ม.80 ผู้ใดลงมือกระทำความผิด แต่ไปไม่ตลอด หรือกระทำไปตลอดแล้วไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด ระวางโทษสองในสามส่วนของโทษ

ม.81 ผู้ใดกระทำการโดยมุ่งต่อผล แต่การกระทำไม่สามารถบรรลุผลอย่างแน่แท้ ถือว่าผู้นั้นพยายาม ลงโทษไม่เกินกึ่งหนึ่ง ถ้ากระทำไปโดยความเชื่องมงาย ศาลจะไม่ลงโทษก็ได้

ม.82 ผู้ใดพยายามกระทำผิด หากยับยั้งเสียเอง ไม่กระทำให้ตลอด กลับใจแก้ไขไม่ให้การกระทำนั้นบรรลุผล ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ แต่ถ้ากระทำไปแล้ว ต้องรับโทษความผิดนั้นๆ



ตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน

ม.83 ความผิดใดที่กระทำตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ผู้ที่ร่วมกระทำผิดนั้นเป็นตัวการ 

ม.84 ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด ด้วยบังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วาน ยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้

ถ้าผู้ถูกใช้กระทำความผิด ผู้ใช้รับโทษเสมือนตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทำลง ผู้ใช้ระวางโทษ 1/3 

ม.86 ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ เป็นการช่วยเหลือ ให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน หรือขณะกระทำความผิด แม้ผู้กระทำความผิดมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวก ผู้นั้นเป็นผู้สนันสนุน 

ม.87 การกระทำผิดเพราะมีผู้โฆษณา ถ้ากระทำเกินขอบเขต ผู้สนับสนุนรับผิดเพียงในขอบเขต 

ม.88 ถ้าความผิดที่ได้ใช้ โฆษณา ประกาศได้กระทำลงถึงขั้นลงมือ แต่ผู้ใช้เข้าขัดขวาง การกระทำไม่บรรลุผล ผู้ใช้ ผู้โฆษณา ผู้ประกาศรับโทษ 1/3 ผู้สนับสนุนไม่ต้องรับโทษ


**ผิดโดยตรง – ผิดโดยอ้อม – ผู้ใช้

**ป้องกัน – บันดาลโทสะ ** ** ป้องกัน – จำเป็น**


ข้อ 4 อั้งยี่ ซ่องโจร

ม.209 ผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการ เพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นผิดเป็นอั้งยี่

ม.210 ผู้ใดสมคบกัน 5 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิด ที่มีโทษจำคุก 1 ปีขึ้นไป ผู้นั้นกระทำผิดฐานเป็นซ่องโจร

ม.213 ถ้าสมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวกซ่องโจร กระทำผิด สมาชิกที่อยู่ด้วยขณะกระทำ หรืออยู่ด้วยในที่ประชุม แต่ไม่คัดค้าน หัวหน้า ผจก. ผู้มีตำแหน่งในอั้งยี่ ซ่องโจร ต้องระวางโทษทุกคน

ม.215 (มั่วสุม) ผู้ใดมั่วสุม 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายขู่เข็ญว่าจะใช้ หรือกระทำการให้เกิดความวุ่นวาย

ม.216 (มั่วสุม) เมื่อ จพง.สั่งให้ผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทำความผิด ให้เลิกไป ผู้ใดไม่เลิกต้องระวางโทษ 


วางเพลิงเผาทรัพย์

ม.217 ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น

ม.218 ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ 

(1)โรงเรือน เรือ แพที่คนอยู่อาศัย (2) โรงเรือน เรือ แพ อันเป็นที่เก็บ หรือที่ทำสินค้า

(3) โรงมหรสพ สถานที่ประชุม (4) โรงเรือนสาธารณสมบัติแผ่นดิน วัด โบสถ์ฯ (5) ส.รถไฟ ท่าอากาศฯ ที่จอดรถ เรือ สาธารณะ (6) เรือกลไฟ เรือยนต์5ตันขึ้น อากาศยาน รถไฟขนส่งสาธารณะ

ม..219 ผู้ใดตระเตรียมการเพื่อกระทำความผิด ม.217 -218 ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับพยายาม 

ม.220 ผู้ใดกระทำให้เกิดเพลิงไหม้ แม้เป็นของตนเอง จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น หรือทรัพย์ของผู้อื่น 

ม.224 ถ้าการกระทำตามม.217 218 221 222 เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย หรือสาหัสต้องระวางโทษ 

ม.225 ผู้ใดกระทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท เป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย หรือน่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตบุคคลอื่น 

ม.233 ผู้ใดใช้ยานพาหนะรับจ้างขนส่งคนโดยสาร เมื่อพาหนะนั้นมีลักษณะ หรือมีการบรรทุกจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในยานพาหนะนั้น ต้องระวางโทษ 


ปลอมแปลงเงินตรา

ม.240 ผู้ใดทำปลอมขึ้นซึ่งเงินตรา หรือพันธบัตรรัฐบาลหรือใบสำคัญสำหรับรับดอกเบี้ยพันธบัตรฯ ผู้นั้นผิดฐานปลอมเงินตรา 

ม.242 ผู้ใดโดยทุจริตให้เหรียญกษาปณ์ ซึ่งรัฐบาลออกใช้มีน้ำหนักลดลง 

ม.243 ผู้ใดนำเข้าซึ่งสิ่งใดๆ อันเป็นของปลอมตาม ม.240 หรือของแปลง ตาม ม.241 ต้องระวางโทษ 

ม.244 ผู้ใดมีไว้เพื่อนำออกใช้ ซึ่งตนได้มาโดยรู้ว่า เป็นของปลอม หรือของแปลง ต้องระวางโทษ

ม.245 ผู้ใดได้มาซึ่ง ของปลอม/แปลง ต่อมารู้ว่าเป็นของปลอม/แปลง ยังขืนนำออกใช้ 

ม.247 ถ้าการกระทำดังกล่าว กระทำต่อเงินตราฯ ตปท. ผู้กระทำรับโทษกึ่งหนึ่ง 


ปลอมเอกสาร

ม.264 ผู้ใดทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับ หรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือตัดทอนข้อความ แก้ไขด้วยประการใดๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอม ลงลายมือชื่อปลอม น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือ ปชช. ถ้าได้กระทำเพื่อ ให้ผู้หนึ่งผู้ใดเชื่อว่าเป็นเอกสารจริง ผู้นั้นผิดปลอมเอกสาร

ผู้ใดกรอกข้อความในแผ่นกระดาษหรือวัตถุอื่นใด ซึ่งมีลายมือชื่อผู้อื่น โดยไม่ได้รับความยินยอม หรือฝ่าฝืนคำสั่ง ถ้านำเอาไปใช้ซึ่งอาจเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใน หรือ ปชช. ผู้นั้นปลอมเอกสาร

ม.265 ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิ หรือเอกสารทางราชการ 

ม.266 ผู้ใดปลอม เอกสารสิทธิทางราชการ พินัยกรรม ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ตั๋วเงิน บัตรเงินฝาก ต้องระวางโทษ 

ม.267 ผู้ใดแจ้งให้ จพง.จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชน หรือเอกสารราชการ เพื่อใช้เป็นหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือ ปชช. 

ม.268 ผู้ใดใช้ หรืออ้างเอกสาร ตามม.264 - ม.267 ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือ ปชช. 




ความผิดเกี่ยวกับเพศ

ม.276 ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น โดยขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย โดยทำให้ผู้อื่นไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้เข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น

การกระทำตามว.1 หมายความว่ากระทำเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำโดยใช้อวัยวเพศผู้กระทำกระทำกับ อวัยวเพศ ปาก ทวารหนัก หรือใช้สิ่งอื่นใดกระทำกับ อวัยวเพศ ทวารหนัก ปาก 

ม.277 ผู้ใดกระทำชำเราเด็ก อายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีตน โดยเด็กจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม 

ม.278 ผู้ใดกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่า 15 ปี โดยขู่เข็ญ ใช้กำลัง บุคคลนั้นไม่สามารถขัดขืนได้ หรือทำให้บุคคลนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น 

ม.279 ผู้ใดกระทำอนาจารเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี โดยเด็กจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม 

ม.282 ผู้ใดเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระ จัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจาร แม้ผู้นั้นยินยอมก็ตาม 

ม.284 ผู้ใดพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจาร โดยใช้อุบายหลอกลวง ขุ่เข็ญ ใช้กำลัง ข่มขืนใจ ต้องระวางโทษ 


ข้อ 5 และ 6 ความผิดต่อชีวิต

ม.288 ผู้ใดฆ่าผู้อื่น 

ม.289 ผู้ใดฆ่า / บุพการี / จพง.กระทำการตามหน้าที่ หรือเพราะเหตุที่จะกระทำ หรือได้กระทำ / ผู้ช่วยเหลือ จพง. หรือเหตุเพราะจะช่วย หรือได้ช่วย / โดยไตร่ตรองไว้ก่อน / โดย ทรมานหรือทารุณโหดร้าย / เพื่อตระตรียมการ หรือสะดวกในการกระทำความผิดอย่างอื่น / เพื่อจะเอา หรือเอาไว้ซึ่งประโยชน์ที่ตนกระทำความผิดอื่น หรือปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดที่ตนกระทำไว้ 

ม.290 ผู้ใดมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทำร้ายผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษ 

ม.291 ผู้ใดกระทำโดยประมาท การกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 


ผิดต่อร่างกาย

ม.295 ผู้ใดทำร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตรใจของผู้อื่น ผู้นั้นผิดฐานทำร้ายร่างกาย 

ม.296 ผู้ใดทำร้ายร่างกาย มีลักษณะ ตาม ม.289 ต้องระวางโทษ 

ม.297 ผู้ใดกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกาย จนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษ 

ตาบอด หูหนวก ลิ้นขาด เสียฆานประสาท เสียอวัยวะ/ความสามรถในการสืบพันธุ์ เสียแขน ขา มือ นิ้ว หรืออวัยวะอื่นใด หน้าเสียโฉมอย่างติดตัว แท้งลูก จิตรพิการติดตัว ทุพพลภาพ เจ็บป่วยเรื้อรังอาจตลอดชีวิต เจ็บป่วยด้วยอาการทุกขเวทนาเกิน 20 วัน ประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้ เกิน 20 วัน 

ม..298 ผู้ใดกระทำผิดตาม 297 ถ้าความผิดมีลักษณะดัง 289 ต้องระวางโทษ 

ม.300 ผู้ใดกระทำโดยประมาท และเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษ 


ทำให้แท้งลูก

ม.301 หญิงใดทำให้ตนแท้งลูก หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูก 

ม.302 ผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงยินยอม 

ม.303 ผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นไม่ยินยอม 

ม.304 ผู้ใดพยายาม ม.301 ม.302 ว.แรก ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ 

ม.305 ผู้กระทำการตาม ม.301 ม.302 ถ้าเป็นแพทย์ และ ทำเนื่องจากสุขภาพของหญิง หรือหญิงมีครรภ์ เนื่องจาก ม.276 277 282 283 284 ผู้กระทำไม่มีความผิด 

**** ถ้าไม่เข้าข้อยกเว้น 305 แพทย์ต้องรับผิดตาม 302 ฝ่ายหญิงผิด 301 ****ถ้าพยายามทำแท้งแล้วหญิงสาหัส ผู้กระทำยังต้องรับโทษอยู่ (ไม่เข้าข้อยกเว้น 304) ****ทำแท้งหญิงสาหัส 302ว.2 กับ 303ว.2 ใกล้เคียงกับ 297(5)*


ทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ

ม.309 ผู้ใดข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการ/ ไม่กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจหรือของผู้อื่น หรือใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำ

ถ้ากระทำโดยมีอาวุธ หรือ 5 คนขึ้นไป หรือให้ผู้ถูกข่มขืนใจทำ ถอน ทำให้เสียหาย ทำลายเอกสารสิทธิ

กระทำโดยอ้างอำนาจอั้งยี่หรือซ่องโจร ไม่ว่าจะมีอยู่จริงหรือไม่ 

ม.337 ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้ หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่น ได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลัง หรือขู่เข็ญ ฯ ผู้นั้นผิดฐานกรรโชก 


หน่วงเหนี่ยวกักขัง

ม.310 ผู้ใดหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น หรือกระทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย 

ม.310 ทวิ ผู้ใดหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น หรือกระทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และให้ผู้อื่นนั้นกระทำการใดให้แก่ผู้กระทำหรือบุคคลอื่น 

ม.311 ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถูกหน่วงเหนี่ยว กักขัง ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย 


เรียกค่าไถ่

ม.313 ผู้ใดเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ 1. เอาตัวเด็กไม่เกิน 15 ปีไป 2.เอาคัวบุคคล ตั้งแต่ 15 ปี (ไม่สมัครใจ) 3. หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลไป 

ม.314 ผู้ใดสนับสนุน ม.313 ต้องระวางโทษตัวการ 

ม.315 ผู้ใดเป็นคนกลาง โดยเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างใดที่มิควรได้ จากผู้กระทำผิด ม.313 หรือจากผู้ที่จะให้ค่าไถ่ 

ม.316 ถ้าผู้กระทำผิดตาม 313 – 315 จัดให้ผู้ถูกเอาตัวไป ได้รับเสรีภาพก่อน พพษ. ลงโทษน้อยลงได้ 

ม.1(13) ค่าไถ่ ทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่เรียกเอา หรือให้เพื่อแลกเปลี่ยนเสรีภาพของผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกกักขัง หน่วงฯ 


พรากผู้เยาว์

ม.317 ผู้ใดปราศจากเหตุอันสมควร พรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง ผู้ดูแล

ผู้ใดโดยทุจริต ซื้อ จำหน่าย หรือรับตัวเด็กที่ถูกพราก ระวางโทษเช่นเดียวกับผู้พราก

ถ้ากระทำเพื่อหากำไร หรือเพื่ออนาจาร ต้องระวางโทษ 

ม.318 ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่า15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย (ว.2 ว.3 เหมือน 317.) 

ม.319 ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี เพื่อหากำไร หรือการอนาจาร โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย 


หมิ่นประมาท

ม.326 ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่ สาม โดยน่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง 

ม.329 ผู้ใดแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท 

ม.330 ถ้าผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด พิสูจน์ได้ว่าข้อหาที่ว่าหมิ่นประมาท เป็นความจิง ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

ห้ามพิสูจน์ถ้าใส่ความเรื่องส่วนตัว และการพิสูจน์ไม่เป็นประโยชน์ต่อ ปชช. 

ม.331 คู่ความหรือทนายความของคู่ความ แสดงความคิดเห็นในกระบวนการพิจารณา เพื่อประโยชน์แก่คดี ไม่ผิด 



ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์

ม.334 ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำผิดลักทรัพย์ 

ม.335 ผู้ใดลักทรัพย์ / ในเวลากลางคืน / ในบริเวณเหตุเพลิงไหม้ ระเบิด อุทกภัย ที่ที่เกิดอุบัติเหตุ ทุกขภัยแก่รถไฟ ยานพาหนะอื่น หรือภัยพิบัติทำนองเดียวกัน หรืออาศัยโอกาสที่ประชาชนกำลังตื่นกลัวภยันตราย / ทำอันตรายหรือโดยผ่าน สิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ / เข้าช่องทางไม่ได้จำนงเป็นทางเข้า หรือผู้เป็นใจเปิดไว้ให้ / แปลง ปลอม ตัว มอมหน้า เพื่อไม่ให้เห็นหรือจำหน้าได้ / ลวงว่าเป็น จพง. / โดยมีอาวุธ หรือร่วมกัน 2 คนขึ้นไป / ในเคหะสถาน สถานที่ราชการ หรือสถานที่ที่จัดไว้เพื่อให้บริการสาธารณะที่ตนเข้าไปไม่ได้รับอนุญาต หรือซ่อนตัวในสถานที่นั้น ๆ / สถานที่บูชาสาธารณะ ส.รถไฟ ท่าอากาศยาน ที่จอดรถ /เรือ สถานที่สำหรับขนถ่ายสินค้า / ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณะประโยชน์ / ที่เป็นของนายจ้าง หรือครอบครองของนายจ้าง / ที่เป็นของผู้มีอาชีพกสิกรรม ผลิตภัณฑ์พืชพันธุ์สัตว์ เครื่องมือประกอบกสิกรรม หรือได้จากกสิกรรมนั้น

ถ้ากระทำโดยจำใจ ยากจนเหลือทนทาน ทรัพย์นั้นราคาเล็กน้อย ศาลจะลงโทษ ตาม ม.334 ก็ได้ 

ม.336 ผู้ใดลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า ผู้นั้นกระทำผิดฐานวิ่งราวทรัพย์

ม. 336 ทวิ ผู้ใดกระทำความผิด ม.334 335 335ทวิ 336 โดยแต่งเครื่องแบบทหารหรือตำรวจ หรือให้เข้าใจว่าเป็นทหาร/ตำรวจ 




ม. 338ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่น ให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนเองหรือผู้อื่น ได้ประโยชน์ในลักษณะเป็นทรัพย์สิน โดยขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยความลับ ซึ่งการเปิดเผยนั้นทำให้ผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลอื่นเสียหาย จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น รีดทรัพย์

ม.339 ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ

-ให้ความสะดวกแก่การลักหรือพาทรัพย์ไป - ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

- ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ -ปกปิดการกระทำความผิดนั้น

- ให้พ้นจากการจับกุม ผู้นั้นผิดฐานชิงทรัพย์

ถ้ากระทำต่อโค กระบือ เครื่องกลเครื่องจักรสำหรับประกอบกสิกรรม หรือ อนุมาตรา 335 

ม.340 ผู้ใดชิงทรัพย์ โดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ผู้นั้นกระทำผิดปล้นทรัพย์

ถ้าในการปล้นทรัพย์ ผู้กระทำแม้แต่คนหนึ่งคนใด มีอาวุธติดตัวไปด้วย ผู้กระทำ (ทั้งหมด) ต้องระวางโทษ 

ม.340 ตรี ผู้ใดกระทำความผิด ตาม ม.339 339ทวิ 340 340ทวิ โดยแต่งเครื่องแบบทหาร/ตำรวจ หรือให้เข้าใจว่าเป็น


ยักยอก ฉ้อโกง

ม.352 ผู้ใดครอบครองทรัพย์ผู้อื่น หรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์เป็นของตน หรือบุคคลที่ 3โดยทุจริต ผู้นั้นผิดยักยอก / ว.2 ผู้อื่นส่งมอบโดยสำคัญผิด * เป็นทรัพย์สินหาย ซึ่งผู้กระทำเก็บได้ รับโทษกึ่งหนึ่ง ม.353 ผู้ใดรับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่น หรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย กระทำผิดด้วยประการใดโดยทุจริต เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ใน ลักษณะทรัพย์สิน (ไม่เกิดความเสียหายไม่ครบองค์ประกอบ) 

ม.354 การกระทำม.352 353 ผู้กระทำผิดเป็นผู้จัดการทรัพย์สินผู้อื่นตามคำสั่งศาล ตามพินัยกรรม หรือในฐานผู้มีอาชีพหรือธุรกิจ อันเป็นที่ไว้วางใจของ ปชช. 

ฉ้อโกง โกงเจ้าหนี้

ม.341 ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความ อันเป็นเท็จ ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง หรือ ทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่ 3 ทำ ถอน ทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นผิดฉ้อโกง 

ม.349 ผู้ใดเอาไปเสีย ทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์อันตนจำนำไว้แก่ผู้อื่น ถ้าได้กระทำเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้รับจำนำ (สังหา) 

ม.350 ผู้ใดเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่น ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิทางศาลให้ชำระหนี้ ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้น หรือโอนไปให้แก่บุคคลอื่น แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้อันไม่เป็นความจริง (สังหา - อสังหา) 


กรรโชก รับของโจร ทำให้เสียทรัพย์ บุกรุก

ม.337 ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่ากาย เสรีภาพ ชื่อเสียง ของผู้ถูกขู่เข็ญ หรือบุคคลที่ 3 จนผู้นั้นยอมเช่นว่านั้น กระทำผิดฐานกรรโชก

ถ้ากรรโชกโดย ว่าจะฆ่า /ทำร้าย/วางเพลิง หรือมีอาวุธติดตัวมาขู่เข็ญ ต้องระวางโทษ

ม.357 ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิด ฐาน ลัก วิ่ง ชิง ปล้น กรร รีด ฉ้อ ยัก หรือ จพง.ยักยอก ผู้นั้นผิดฐานรับของโจร

ม.358 ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น หรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ผู้นั้นผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ (ต้องมีเจตนาด้วยนะ)

ม.362 ผู้ใดเข้าไปในอสังหาฯของผู้อื่น เพื่อถือการครอบครองทั้งหมดหรือบางส่วน หรือ เป็นการรบกวนการครอบครองของเขาโดยปกติสุข 

ม.264 ผู้ใดโดยไม่มีเหตุอันสมควร เข้าไปหรือซ่อนตัวในเคหสถาน อาคาร/สนง. ของผู้อื่น หรือไม่ยอมออกเมื่อผู้มีสิทธิที่จะห้ามได้ไล่ให้ออก 

ม.365 ถ้า ม.362-364 กระทำโดยใช้กำลัง หรือขู่เข็ญว่าจะใช้ / โดยมีอาวุธหรือโดย 2 คนขึ้นไป / ในเวลากลางคืน ยอมความไม่ได้ 


  

------------------------------------------------------------------------------

  กฎหมายวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง

ม.3 สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง หรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ มีลักษณะสัญญาเป็นสัญญาสัมปทาน จัดทำบริการสาธารณะ จัดให้มีสาธารณูปโภค หรือแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ

ม.5 วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง การเตรียมการและการดำเนินการของ จนท.เพื่อจัดให้มีคำสั่งทางปกครองหรือกฏ รวมถึงการดำเนินการใดๆในทางปกครอง 

ม.13 จนท. จะกระทำการพิจารณาทางปกครองไม่ได้

- เป็นคู่กรณี - คู่หมั้นหรือคู่สมรส 

- เป็นญาติ คือ บุพการี ผู้สืบสันดานไม่ว่าชั้นใดๆ พี่น้อง ลูกพี่ลูกน้องนับได้ 3 ชั้น ญาติแต่งงานนับได้ 2 ชั้น

- เป็นหรือเคยเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้พิทักษ์ ผู้แทน หรือตัวแทนของคู่กรณี

- เป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ หรือนายจ้างคู่กรณี - กรณีอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง 

ม.16 กรณีมีเหตุอื่นนอกจาก ม.13 เกี่ยงกับ จนท.ซึ่งมีสภาพร้ายแรง อันอาจทำให้กราพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลาง จนท.ผู้นั้นจะพิจารณาไม่ได้ 

ม.17 การกระทำใดๆของจนท.ก่อนการหยุดพิจารณาตามม.16 ย่อมไม่เสียไป เว้นต่จนท.ผู้เข้าปฏิบัติหน้าที่แทนถูกคัดค้าน หรือสมควรดำเนินการส่วนหนึ่งส่วนใดเสียใหม่ 

ม.18 ม.13 ถึง ม.16 ไม่ให้นำมาบังคับใช้กรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน หากปล่อยล่าช้าไปจะเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะ หรือสิทธิของบุคคลจะเสียหารไม่มีทางแก้ไขได้ หรือไม่มีจนท.อื่นปฏิบัติหน้าที่แทนผู้นั้นได้ 

ม.19 ถ้าภายหลังปรากฏว่า จนท.หรือคณะกรรมการที่มีอำนาจพิจารณาทางปกครองใด ขาดคุณสมบัติ ต้องพ้นจากตำแหน่ง ไม่กระทบกระเทือนถึงการใดที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่ 

ม.30 ในกรณีที่คำสั่งทางปกครอง อาจกระทบถึงสิทธิคู่กรณี จนท.ต้องให้คู่กรณีมีโอกาสที่จะทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอ โต้แย้งหรือแสดงพยานหลักฐานของตน

มิให้นำมาใช้ 1. จำเป็น รีบด่วน หากช้าจะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือประโยชน์สาธารณะ

2. มีผลให้ระยะเวลาที่กฎหมายหรือกฎกำหนดไว้ในการทำคำสั่งฯต้องล่าช้าออกไป

3. เป็นข้อเท็จจริงที่คู่กรณีเองได้ให้ไว้ในคำขอ คำให้การ หรือคำแถลง

4. เมื่อโดยสภาพเห็นได้ชัดว่าการให้โอดังกล่าวไม่อาจกระทำได้

5. เมื่อเป็นมาตรการบังคับทางปกครอง

6. กรณีอื่นที่กำหนดไนกฎกระทรวง

ห้ามมิให้ จนท.ให้โอกาสตาม ว.1 ถ้าจะก่อให้เกิดผลประโยชน์ร้ายแรงต่อประโยชน์สาธารณะ 

ม.34 คำสั่งทางปกครองอาจทำเป็นหนังสือ วาจา หรือสื่อสารรูปแบบอื่น แต่ต้องมีความหมายชัดเจนเพียงพอ 

ม.35 คำสั่งทางปกครองด้วยวาจา ถ้าผู้รับคำสั่งร้องขอเหตุผลสมควรใน 7 วัน ผู้ออกคำสั่งต้องยืนยันเป็นหนังสือ 

ม.36 คำสั่งฯ ที่ทำเป็นหนังสือ อย่างน้อยต้องระบุ ว.ด.ป. ที่ทำ ชื่อ/ตำแหน่ง/ลายมือชื่อ ผู้ทำคำสั่ง

ม..37 คำสั่ง ฯ ที่เป็นหนังสือ และการยืนยันคำสั่งทางปกครองเป็นหนังสือ ต้องจัดให้มีเหตุผลไว้ด้วย และเหตุผลอย่างน้อยต้องประกอบด้วย ข้อเท็จจริงสาระสำคัญ ข้อกฎหมายที่อ้างอิง ข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลพินิจ 

ว.1 ไม่ใช้บังคับ กรณีมีผลตรงตามคำขอ ไม่กระทบสิทธิบุคคลอื่น เหตุผลนั้นรู้กันอยู่แล้ว กรณีที่ต้องรักษาเป็นความลับ ออกคำสั่งโดยวาจากรณีเร่งด่วน แต่ต้องให้เหตุผลเป็นลายลักอักษรหากผู้ใต้บังคบบัญชาร้องขอ 

ม.40 คำสั่งฯ ที่อาจอุทธรณ์หรือโต้แย้งให้ระบุ กรณีอาจโต้แย้ง อุทธรณ์ และระยะเวลาดังกล่าวด้วย

กรณีฝ่าฝืน ว.1 ให้นับใหม่เริ่มแต่วันที่ได้รับแจ้งตามว.1 หากไม่มีการแจ้ง ให้เป็น 1 ปี นับวันที่ได้รับคำสั่งฯ 

ม.41 คำสั่งฯที่ออกโดยฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ต่อไปนี้ ไม่เป็นเหตุให้คำสั่งทางปกครองไม่สมบูรณ์

1.การออกคำสั่งฯโดยยังไม่มีผู้ยื่นคำขอ ถ้าต่อมาภายหลังมีการยื่นคำขอเช่นนั้นแล้ว

2.คำสั่งฯ ม.37 ว.1 ถ้าจัดให้มีเหตุผล 

ม.42 คำสั่งทางปกครอง ให้มี ผลใช้ยันต่อบุคคลตั้งแต่ขณะที่ผู้นั้นได้รับแจ้งเป็นต้นไป ตราบเท่าที่ยังไม่มีการเพิกถอน หรือสิ้นผลโดยเงื่อนเวลาหรือเหตุอื่น 

ม.44 กรณีคำสั่งฯ ไม่มีกฎหมายกำหนดขั้นตอนอุทธรณ์ไว้ คู่กรณีอุทธรณ์คำสั่งภายใน สิบห้าวัน นับแต่วันได้รับแจ้ง ต้องทำเป็นหนังสือระบุข้อโต้แย้ง ข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายที่อ้างอิง การอุทธรณ์ไม่เป็นเหตุให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่งฯ 

ม.49 จนท.หรือผู้บังคับบัญชา จนท. อาจเพิกถอนคำสั่งฯ ใน ม.51-53 ไม่ว่าพ้นขั้นตอนให้อุทธรณ์หรือให้โต้แย้งตามกม.นี้ หรือกม.อื่นมาแล้วหรือไม่

การเพิกถอนคำสั่ง ฯ ที่มีลักษณะเป็นการให้ประโยชน์ ต้องกระทำใน 90 วัน เว้นแต่คำสั่งฯจะได้ทำขึ้นเพราะแสดงข้อความเท็จ ปกปิดความจริง ข่มขู่ หรือให้ทรัพย์อื่นใดที่มิชอบ 

ม.50 การเพิกถอนคำสั่งที่ไม่ชอบ อาจเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วน โดยจะให้มีผลย้อนหลังหรือไม่ตามที่กำหนด แต่ถ้าเพิกถอนคำสั่งซึ่งเป็นการให้ประโยชน์แก่ผู้รับ ต้องเป็นไปตาม ม.51 ม.52 

ม.51 การเพิกถอนคำสั่งฯ ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งเป็นการให้เงินหรือทรัพย์สิน หรือประโยชน์ที่อาจแบ่งแยกได้ ให้คำนึงถึง ความเชื่อโดยสุจริตของผู้รับประโยชน์ในความคงอยู่ของคำสั่งฯนั้นกับประโยชน์สาธารณะประกอบกัน

ความเชื่อตาม ว.1 จะได้รับความคุ้มครองก็ต่อเมื่อ ผู้รับคำสั่งได้ใช้ประโยชน์จากคำสั่ง หรือได้ดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินไปแล้ว ไม่อาจแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือหากแก้ไขเปลี่ยนแปลงจะก่อให้เกิดความเสียหาย

กรณีต่อไปนี้ ผู้รับคำสั่งฯจะอ้างความเชื่อโดยสุจริตไม่ได้

(1) ผู้นั้นแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดความจริง หรือข่มขู่ หรือชักจูงใจโดยให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์ 

(2) ผู้นั้นได้ให้ข้อความซึ่งไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้องในสาระสำคัญ

(3) ผู้นั้นได้รู้ถึงความไม่ชอบด้วยกม.ของคำสั่ง ในขณะได้รับคำสั่งฯ หรือการไม่รู้นั้นเป็นไปโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

กรณีเพิกถอนโดยมีผลย้อนหลัง การคืนเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่ผู้รับคำสั่งฯได้ไป ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้มาบังคับใช้โดยอนุโลม กรณีผู้นั้นไม่สุจริต ต้องรับผิดคืนเงินหรือผลประโยชน์เต็มจำนวน 

ม.52 คำสั่งที่ไม่ชอบ และไม่อยู่ในบังคับ ม.51 อาจถูกเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วนได้ แต่ผู้รับผลกระทบมีสิทธิได้รับค่าทดแทนความเสียหายเนื่องจากความเชื่อโดยสุจริตในความคงอยู่ของคำสั่ง ค่าทดแทนดังกล่าวต้องไม่สูงกว่าประโยชน์ที่ผู้นั้นอาจได้รับหากไม่ถูกเพิกถอน 

ม.54 เมื่อคู่กรณีมีคำขอ จนท.อาจเพิกถอนหรือแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งฯ ที่พ้นกำหนดอุทธรณ์ได้ในกรณี

1. มีพยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงเลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ

2.คู่กรณีที่แท้จริงมิได้เข้ามาในกระบวนการพิจารณา หรือเข้ามาแล้วถูกตัดโอกาสโดยไม่เป็นธรรมในการมีส่วนร่วม 

3. จนท.ไม่มีอำนาจที่จะทำคำสั่งทางปกครองในเรื่องนั้น

4. ถ้าต่อมาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญ เป็นประโยชน์ต่อคู่กรณี

-------------------

กม.จัดตั้งศาลปกครอง

ม.3 หน่วยงานทางปกครอง หน่วยงานของรัฐ รวมถึง หน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครอง หรือให้ดำเนินกิจการทางปกครอง 

ม.9 ศาลปกครองมีอำนาจพิพากษาหรือมีคำสั่งในกรณีดังต่อไปนี้

1. หน่วยงานรัฐ กระทำการโดยไม่ชอบไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ หรือคำสั่งอื่นใด โดยไม่มีอำนาจ ฯ

2. คดีพิพาทเกี่ยวกับหน่วยงาน/หรือจนท. ละเลยตามที่กม.กำหนด ล่าช้าเกินสมควร

3. คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของ หน่วยงานทางปกครอง

4. คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง

5. คดีที่ กม.กำหนดให้หน่วยงานทางปกครองฟ้องคดีต่อศาล เพื่อบังคับให้บุคคลกระทำการหรือไม่กระทำการ

6. คดีพิพาทเกี่ยวกับเรื่องที่มีกฎหมายกำหนดให้อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง 

ม.42 ผู้ใดเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเป็นเช่นว่านั้น เนื่องจากการกระทำหรืองดเว้นการกระทำของ หน่วยงานหรือจนท.ทางปกครอง หรือข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง การแก้ไขหรือบรรเทาต้องมีคำสั่งทางปกครองบังคับ ผู้นั้นมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครอง

ในกรณีที่กม.กำหนดขั้นตอนหรือวิธีการสำหรับแก้ไขความเดือดร้อนหรือความเสียหายไว้โดยเฉพาะ การฟ้องคดีจะกระทำได้ เมื่อมิได้มีการสั่งการภายในเวลาอันสมควร 

ม.49 การฟ้องคดีต้องยื่นฟ้องภายใน 90 วันนับแต่ได้รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี หรือ 90 วัน นับแต่ผู้ฟ้องมีหนังสือร้องขอต่อหน่วยงานทางปกครอง แต่ไม่ได้รับหนังสือชี้แจง หรือได้รับแต่ผู้ฟ้องเห็นว่าไม่มีเหตุผล 

ม.52 การฟ้องฯ เกี่ยวกับการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ หรือสถานะบุคคล จะฟ้องคดีเมื่อใดก็ได้ 

ม.72 ในการพิพากษาคดี ศาลมีอำนาจกำหนดบังคับอย่างหนึ่งอย่างใด

1. เพิกถอน กฏหรือคำสั่งหรือสั่งห้ามกระทำทั้งหมดหรือบางส่วน ในกรณีฟ้องว่าหน่วยงาน/จนท.กระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

2. สั่งให้หัวหน้าหน่วยงานทางปกครองหรือ จนท.ปฏิบัติตามหน้าที่ในเวลาที่ศาลกำหนด กรณีฟ้องว่าปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร

3.สั่งให้ใช้เงินหรือส่งมอบทรัพย์สิน ให้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการ กรณีฟ้องเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง

4. ให้ถือปฏิบัติต่อสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลที่เกี่ยวข้อง กรณีฟ้องแสดงความเป็นอยู่ของสิทธิหรือหน้าที่นั้น

5.สั่งให้บุคคลกระทำหรือละเว้นกระทำ อย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น